24 พฤศจิกายน 2567 1:15 น สวัสดีครับทุกท่าน มาต่อกันจากเมื่อวาน.....เมื่อเช้านี้กันครับ
ไล่เรียงประวัติการเรียนของผมมาจนถึง ม.ศ.3 ว่าผ่านอะไรมาบ้าง ส่วนใหญ่ก็คงจะคล้ายๆกับหลายๆท่านนั่นแหละครับ เนื้อหาในแต่ละวิชาก็ไม่ต่างกันมาก แต่ที่ต่างกันคือ คุณครูผู้สอน และผมที่เป็นนักเรียน ยอมรับตรงๆว่า บางวิชาผมทำได้แค่ รู้จักเท่านั้น ว่ามันมีวิชาแบบนี้ที่ต้องเรียน แต่ไม่รู้มันเลย เพราะเรียนไม่รู้เรื่องนั่นเอง เช่นวิชา คณิตศาสตร์หรือวิชาเลขนั่นเอง พอเรียนในระดับมธยมนี่ ผมแทบไปไม่เป็นเลยทีเดียว แถมแยกเป็นวิชาเรขาคณิตอีกต่างหาก ยิ่งแล้วใหญ่เลยทีนี้ ไรฟะ บวก ลบ คูณ หาร อยู่ดีๆ มีเป็นมุม เป็น ฯลฯ ซ้ำร้ายกว่านั้น ในใจได้แต่นึกว่า จะเรียนไปทำไมนักหนา เอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่ได้ เด็กมัธยม จะเอาเรื่องพวกนี้ไปทำอะไร คุณครูก็ไม่ได้บอกซะด้วย ฯลฯ เคยเจอโจทย์แบบนี้ไหมครับ รถไฟสองขบวนวิ่งสวนกัน แต่อยู่ห่างกันเท่านั้นเมตร ขบวนแรกวิ่งด้วยควานเร็ว............. ถามว่า ทั้งสองขบวนจะวิ่งมาเจอกันที่ตรงไหน.......แล้วเด็ก ป.5 จะรู้ไปเพื่ออะไรครับ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็ทำไม่ได้ด้วย เพราะตอนคุณครูสอน ผมไม่รู้เรื่องเลย แล้วก็ไม่กล้าถามอีกต่างหาก เพราะเคยถามแล้วโดนเพื่อนมองหน้าแบบเซ็งๆ ประมาณว่า เมิงจะถามทำไมฟะ ให้มันผ่านไปเร็วๆก็ได้ม้าง อะไรประมาณนั้นและครับ นี่ยังไม่รวมวิชาอื่นๆเช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ฯ เรียกได้ว่า เกือบทุกวิชาหลักเลยก็ว่าได้ จะมีอาการเดียวกันเกือบท้้งห้อง จะมีประเภท ช้างเผือกอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง นั่นคือการเรียนในสมัย ประถมและมัธยมต้น ของผมที่ผ่านมานานแล้ว
แต่ก็มีวิชาที่ทำได้ดีอยู่เหมือนกัน เช่น พละ วาดเขียน หรือวิชาแปลกๆ เช่น ขุดดิน ปลูกข้าวโพด ปลูกต้นหอม ฯ 5555555 ไม่น่ารอดมาได้ถึงวันนี้เลบครับ บอกตรงๆ
หลายท่านอาจจะบอกว่า ผมไม่ได้ขยันและตั้งใจเรียนเองนี่หน่า แล้วเที่ยวไปโทษนู่น นี่ นั่น ไปเอง ก็ยอมรับว่าใช่ครับ
ตั้งแต่ ป.5 ถึง ม.ศ.2 ผมตื่นประมาณเกือบเจ็ดโมงเช้า มีเวลา อาบน้ำกินข้าวแล้วไปถึงโรงเรียน ก่อนแปดโมง เป็นใช้ได้ เลิกเรียน สี่โมงเย็น กลับบ้านสี่โมงหน่อยๆ เพราะเดินกลับบ้านได้ โรงเรียนอยู่ไม่ไกลมาก ทำอยู่อย่างนี้มาห้าปี ไม่เคยขาดเรีนยแม้แจ่วันเดียว ไม่เคยลาป่วยเลย เข้าเรียนทุกวิชา เหมือนเพื่อนๆทุกคน แต่ผลที่ออกมาก็คาบเส้นกันตลอดเหมือนเพื่อนหลายคนในห้องนั่นแหละครับ อันนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากโทษตัวเองที่เรียนไม่รู้เรื่อง ไม่ขยัน ไม่ตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้
พอขึ้น ม.ศ.3 ย้ายมาอยู่ กทม นี่ยิ่งหนักเลย ตื่นตีห้า มารอรถเมล์ไม่เกินตีห้าครึ่ง โรงเรียนเข้า เจ็ดโมงเช้า ถ้าตีห้าครึ่งยังไม่ได้ขึ้นรถก็สวดมนต์ได้เลยครับ สายแน่ๆ โดนตัดแต้มในสมุดบันทึกประจำตัว แต้มหมด ก็หมดบุญได้เลยทีเดียว และการเรียนก็ยังเป็นเหมือนเดิม คือ ให้เรียนอะไรก็เรียน แต่ไม่รู้เอาไปใช้ทำอะไรได้ ขอให้สอบผ่านเท่านั้นเป็นใช้ได้แล้ว
จากทั้งหมดที่เล่ามา จะเห็นว่า เด็กที่จบ ม.ศ.3 เช่นผมนั้น จบมาแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองอยากจะเรียนอะไรต่อ นอกจากเรียนต่อ ม.ศ.4 ตามๆเพื่อนไปเท่าน้นเอง หาจุดหมายปลายทางไม่เจอเลย ตัดสินใจเองก็ไม่ได้ เพราะถูกส่งไปเรียน ปวช. ที่ต่างจังหวัด ในแผนกวิชา อิเล็คทรอนิค นี่ก็ไม่ได้เลือกเอง แต่ถูกบังคับให้เรียน เพราะ จบมา มีงานทำแน่นอน อย่างน้อยก็ เป็นช่างซ่อม ทีวีกับวิทยุได้ เขาว่ามางั้นครับ เอ้า เรียนก็เรียน ฯลฯ
สมัยนั้นยังไม่มีแผนกแนะแนวให้นักเรียนได้เข้าไปปรึกษาเหมือนสมัยนี้นะครับ จะเรียนอะไร อยู่ที่คนจ่ายเงินอย่างเดียวเลยจริงๆ
และถ้าตอนที่ผมจบ ม.ศ.3 แล้วไม่ได้เรียนต่อเพราะจน นั่นก็คือซวยของแท้ เพราะต้องออกไปหางานทำ แล้วจะให้ไปทำงานอะไรล่ะครับ นอกจากงานรับจ้างใช้แรงงานทั่วไป เท่านั้นเอง และเมื่อเป็นอย่างนั้น ไอ้วิชาที่เรียนมาตั้งหลายปี ก็จะไม่ได้เอามาใช้เลย ยกเว้น ตอนรับเงินค่าแรง นับดูว่า เข้าจ่ายครบไหมกับวันที่เราทำงาน แค่นั้นจริงๆ ทำไมทางเลือกของเด็กที่จบ ม.ศ. 3 มันมีน้อยจังครับ ถึงแม้ทุกวันนี้ก็เถอะ จบ ม.3 ออกมาแล้วจะไปทำอะไร อย่าบอกว่า เด็บจบ ม.3 ทุกคนก็มีโทรศัพท์มือถือนะครับ มันมีไม่ทุกคนแน่ๆ
และเรื่องที่ผมมองเห็นผ่านอดีตของผมเองก็คือ การเรียนในโรงเรียน ไม่ได้สร้างทางเลือกให้เด็กนักเรียน ที่จะต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาภาคบังคับเลยแม้แต่น้อย
ผมว่ายน้ำเป็นในหมู่เพื่อน ผมไม่เป็นสองแน่นอน เคยช่วยเพื่อนจมน้ำมาแล้วด้วย อย่างดีใจเลย ตกปลาได้ หว่านแหเป็น เอาปลาไปขายได้ ถีบสามล้อรับจ้างได้ ตีผึ้งเอาน้ำหวานได้ รู้จักว่า ปลาดุกจะต้องจับมันยังไง ไม่ให้โดนเงี่ยงมันแทงเอา จะดักปลาช่อนตัวโตๆได้ยังไง จะขุดหลุมฝังเสารั้วยังไง จะทำนายังไง เกี่ยวข้าว ฟาดข้าวก็ได้ ตวงข้าวเปลือกไปสีก็ได้ จะทอผ้าต้องเริ่มยังไง งูตัวไหนมีพิษ ตัวไหนจับได้ เล่นได้ ไปจับกบที่ไหน จะป้องกันยอดมะพร้าวไม่ให้ด้วงมันมากินได้ยังไงโดยที่ไม่ใช่สารเคมี ปลูกมะพร้าว ปลูกกล้วย ปลูก สารพัดต้นไม้ก็ทำได้มาแล้ว ทำขนมขายก็ได้ด้วยเพราะไปช่วยเพื่อนมันทำอยู่บ่อยๆ ขนมตะโก้ ขนมเปียกปูน ข้าวต้มมัด(อันนี้ท่านยายเป็นคนสอนครับ)ฯลฯ ที่กล่าวมานี้ ผมไม่ได้มาจากในโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย แต่ได้จากการออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆแถวบ้านในวันหยุดเรียนทั้งนั้น ถ้ามผมไม่ออกไปนอกบ้าน นั่งท่องหนังสือ อ่านตำรา ให้มากๆ ผมก็คงจะเรียนเก่งกว่านี้แน่นอน แต่ผมจะว่ายน้ำไม่เป็น ปลาอะไรก็ไม่รู้จักนอกจากในหนังสือ แต่ตัวปลาเป็นๆ มันเป็นยังไงผมก็จะไม่รู้เลย งูสิงห์กับงูเห่าต่างกันยังไงผมก็จะแยกไม่ออก เรียกง่ายๆว่า เรื่องในทุ่งนาทั้งตอนหน้าแล้งและตอนหน้าน้ำทำนานั้น ผมเคยชินกับมัน แม้จะรู้้ไม่หมด แต่ก็มากพอที่จะทำให้ชีวิตปลอดภัยในทุ่งนาได้ก็แล้วกันครับ ฯลฯ มันก็ต้องแลกกันนั่นแหละครับ เพื่อนๆที่จบ ม.ศ3 พร้อมผมที่อยู่ต่างจังหวัดหลายคนมารู้ทีหลังว่า ไม่ได้ไปต่อเหมือนกัน พวกเขาเหล่านั้นก็พากันเข้าเมืองใหญ่ มาใช้แรงงาน เป็นเด็กเซิฟร์มั่ง กรรมกรมั่ง รปภมั่ง ฯลฯ หลายคนก็กลับไปทำนาที่บ้านกับพ่อแม่ ฯลฯ จนถึงปัจจุบันก็ผันตัวไปเป็นเถ้าแก่ก็เยอะ หาเงินไปเรียนต่อจนได้เป็นด๊อกเตอร์ก็มี เป็นทหารเกณร์แล้วสอบนายสิบ ไปเป็นนายทหารก็หลายคน ตามแต่ใครจะเจอทางไหน เพื่อนที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่เท่าที่เจอตอนนี้ หลายคนก็เป็นคุณครู หลายคนก็เป็นแม่บ้าน หลายคนก็ครอบครัวล้วเหลว มันก็มีในทุกวงสังคมนั่นแหละครับ แม้แต่ผมเองก็กลายมาเป็นอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันในตอนนี้ รับจ้างทั่วไปมั้งครับ ส่งลูกเรียนจนจบก็พอแล้ว ที่เหลือตัวใครตัวมันครับ อาจจะดูโหดไป แต่ชีวิตใครก็ต้องเลือดเอาเองครับ สมัยผมไม่มีโอกาสได้เลือกอะไรในการเรียนเลย มาทำงานก็ยังเลือกงานไม่ได้ ชีวิตผมมาเลือกได้ตอนลาออกจากที่ทำงานครั้งแรกนั่นแหละครับ หาเงินเรียนต่อเอาเอง จนเป็นอย่างทุกวันนี้
ในคลิปสั้นๆนี้ เอามาลงอีกที
https://www.youtube.com/shorts/SB9dd-IrtTg
จากในคลิปจะเห็นว่ามันเป็นความจริงไม่น้อยเลยทีเดียว ในโรงเรียน เราอยากเรียนวิชานี้นานๆหน่อยก็ไม่ได้ เราอยากจะเรียนแต่วิชาศิลป อย่างเดียวก็ไม่ได้ เราอยากเรียนวิชาเลขอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราอยากเรียนภาษาอังกฤษอย่างเดียวก็ไม่ได้ ทำไมไม่ได้ล่ะครับ มันผิดตรงไหน
ทุกวันนี้ นักเรียนสายช่างบางที่ เขาเรียนในโรงเรียนแค่ปีเดียวหรืออาจจะปีกว่าๆเอง สำหรับ ปวช 1-3 คือสามปี เรียนปีกว่าๆ ทีเหลือไปฝึกงานกันหมด เพราะเนื้อหาจริงๆ มันไม่ต้องเรียนกันถึงสามปีไงครับ ยิ่งเป็นเรื่องของเทคโรนโลยี่ด้วยแล้ว เรียนปีนี้ ปีหน้ามันตกรุ่นไปแล้วด้วยซ้ำ
หรือ เรื่องของการเรียนต่อเรือก็ได้ เอาแค่เรือเล็กๆไปทำมาหากิน ทำขายชาวบ้านทั่วไปนี่แหละครับ ต้องเรียนกันเป็นปีเลยหรือครับ ผมยืนยันได้เลยว่า ไม่ต้องถึงปีหรอกครับ เรียนเสร็จ ออกไปทำเรือขายทำมาหากินได้เลย หลายคนอาจจะแย้งว่า อ้าวแล้วเรือใหญ่ๆก็ทำไม่ได้สิ ใช่ครับทำไม่ได้ เพราะต้องเรียนมากกว่านี้ และคนเรียนต้องเก่งด้วย ทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกร์ ฯ มันเป็นที่สำหรับคนที่เก่งจริงๆ มีทุน ไม่มีภาระอะไรในการเรียนครับ ข้อนี้ผมไม่เถียงเลย แต่สำหรับคนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาขั้นบังคับและขั้นพื้นฐานแล้ว มันมีทางเลือกให้น้อยมากจริงๆครับ
ฮ่าๆ และแล้วผมก็หาทางลงของเรื่องนี้จนได้ มีเท่านี้แหละครับที่ผมอยากมาบ่นให้ฟังให้อ่านกัน นี่ก็ตีสามกว่าแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงกันทุกคครับ
3:07 น.
......................................................................................................