23 พฤศจิกายน 2567 4:28 น. อรุณสวัสดีครับทุกท่าน ดูซีรีาย์จีนเพลินไปหน่อย "สยบฟ้าพิชิตปฐพี" ไม่รู้จะดูอะไร ก็เพลินดีครับ รอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว
วันก่อนทิ้งท้ายไว้ตอนตีห้ากว่าๆ คืองี้ครับ บทความนี้ผมทำเพราะอยากทำล้วนๆเลย ไม่ได้มีเจตนาจะไปใส่ร้าย โรงเรียนหรือระบบการศึกษาของไทยแม้แต่น้อย มันมีโอกาสและมีพื้นที่ของผมเองที่จะได้แสดงความเห็นได้อย่างถูกใจของตัวผมเองคนเดียวเท่านั้นครับ ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะมากๆ อะไรที่เราอยากให้เป็น อยากให้คนอื่นรู้ความรู้สึกของเรา เราก็มีทางออกที่ค่อนข้างง่ายในสมัยนี้ เมื่อ โซเชียลเปิดโอกาสให้ ไม่เสียเงิน แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกวิจารย์หรือร้ายกว่านั้นถ้าความเห็นเราไปละเมิดใครหรือหน่วยงานใดๆเข้าก็ "ซวย" แน่ๆครับ ดังนั้น เนื้อหาในบทความของผมทั้งหมดที่ทำมาตั้งหลายปี จึงเป็นความคิด ความเข้าใจและความรู้ที่ผมมีแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น จะถูกจะผิดยังไง ผมขอรับไว้เพียงผู้เดียวครับ ส่วนใครจะชอบหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนเท่านั้น ผมไม่มีสิทธิ์ใดๆไปบังคับให้ใครมาเชื่อในบทความที่ผมได้ทำขึ้นมา ส่วนท่านที่สงสัย ขัดข้อง อยากจะถามอะไรก็ อแด ไลน์ มาสอบถามได้ในเรื่องของบทความต่างๆที่ผมได้ทำลงไป ยินดีตอบ และสนทนาด้วยกับทุกท่านครับ และที่สำคัญต้องขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความเหล่านี้ แม้จะไร้สาระไปบ้าง โม้ไปบ้าง ฯ ก็ถือซะว่า อ่านเอาเพลินๆก็แล้วกันครับ
มาว่ากันต่อจากวันก่อนครับ โรงเรียนกับสังคมไทยเป็นเรื่องที่ใหญ่มากจริงๆ จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ยาก เพราะต้องเปลี่ยนทั้งประเทศ แต่จากวันก่อนผมได้มองภาพรวมของการเรียนของนักเรียน ตั้งแต่เด็กๆ ไปจนถึงเรียนจบปริญญาตรี ว่าสายตาและความคิดของผมมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จากภาพใหญ่ เรามาลองดูภาพที่เล็กลงดีกว่าครับ
ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกลครับ ตัวผมเองนี่แหละที่ปัจจุบันอายุหกสิบกว่าปีแล้ว จะมาบอกว่า ผมได้อะไจากการเรียนในโรงเรียนสมัยผมเรียนชั้น ประถม และมัธยมบ้าง ยังจำได้ดีครับ เหมือนผ่านไปไม่นานมานี้เอง
ตอนที่ผมจบ ป.4 ที่ผมได้ติดตัวติดหัวมาก็คือ อ่าน เขียนภาษาไทยได้ บวก ลบ คูณ หาร เลข ได้ ท่องสูตรคูณได้ บัญญัตไตรยางได้นิดนึง ท่อง a-z ได้ ท่อง อาขยานได้ รู้เรื่อง รามเกียรติ พระอภัยมณี ขุนแผน ฯ ส่วนประวัติศาสนตร์ ก็รู้จัก พ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่าท่านเป็นกษัตริย์ของอณาจักสุโขทัย สร้างศิลาจารึก เป็นต้นแบบของ ภาษไทยในปัจจุบัน รู้ว่าไทยรบกับพม่ามานาน เสียกรุงฯ สองครั้ง ครั้งแรกได้ สมเด็จพระนเรศวรหมาราชกู้้เอกราชกลับมาได้ ครั้งที่สองได้พระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช กู้กลับคืนมาได้ มีราชวงศ์จักรี ปกครองต่อจากนั้นเป็น รัชกาลที่๑ พออถึงรัชกาลที่๕ มีการเลิกทาสทั่วประเทศ และทุกวันที่ 23 ตุลาคม ค้องไปวางพวงมาลาที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ฯ ส่วนการเมือง ผมได้เรียนวิชาหน้าที่พลเมืองในสมัยนั้น ว่าด้วยเรื่อง ประชาธิปไตยคืออะไร เรามีสิทธิและหน้าอย่างไรบ้าง ฯ แล้ว้ก็มีวิชาวาดเขียน หรือวาดรูปนั่นแหละ ส่วนใหญ่ใช้สีเทียน เพราะถูกที่สุด แต่รูปที่ได้ เลอะเทอะที่สุด ใครมีเงินหน่อยก็้จะมีสีไม้มาใช้ให้เพื่อนๆได้อิจฉากัน โดยรวมก็หลายวิชาอยู่นะครับ ถ้าผมจบ ป.4 แล้วไม่ได้เรียนต่อ ผมที่เป็นเด็กน้อยคนนี้จะไปทำอะไรเพื่อให้ได้เงินมาใช้ล่ะครับ
พอขึ้น ป.5 ผมถูกส่งไปอยู่ อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยน โรงเรียน เปลี่ยนเพื่อน เปลี่ยนภาษาที่ใช้พูดคุกันใหม่หมดเลย วิชาที่เรียนก็เริ่มเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเกาะอยู่กับวิชาหลัก คือ ภาษาไทย ,อังกฤษ ,คณิตศาสตร์ ที่เพิ่มมาคือ วิชาสังคมศึกษา วิชาขับร้องเพลงไทยเดิม วิชาพละเริ่มได้เตะบอล เตะตะกร้อกันก็ที่นี่แหละครับ และที่แปลกไปมากก็คือ วิชาขุดดิน ใครมาสาย หรือไม่ส่งการบ้านก็ไปหลังอาคารเรียน จะมี สระดินขนาดใหญ๋ แต่ไม่ลึกเท่าไหร่ในสมัยนั้น เป็นการทำโทษ ต้องใช้จอบขุดดินใสบุ้งกี๋ที่เป็นหวาย คนละห้า หรือ สิบ ก็ว่ากันไปตามความผิดมากน้อย มีวิชาเกษตรได้ปลูกข้าวโพดด้วย ตั้งแต่ทำแปลง พรวนดิน ใส่ปุ๋ขี้วัวขี้ควาย หยอดเมล็ดข้าวโพด รดน้ำ เช้า เย็น ของใครเหี่ยวก็ซวยไป โดนอีกหลายบุ้งกี๋ อ้อ มีวิชาลูกเสือด้วย ป.5 นี่ ได้เป็นลูกเสือสามัญกันแล้วครับ สนุกดี แต่ร้อนมาก เพราะเรียนตอน บ่ายสองโมง ผมเป็นลมตั้งแต่ตั้งแถวได้ไม่กี่นาทีแล้วครับ เพื่อนๆส่วนนึงก็เป็นลูกชาวนนาตามหมู่บ้านรอบๆอำเภอ อีกส่วนก็เป็นลูก เถ้าแกมั่ง ร้านขายของชำมั่ง ฯ ปนๆกันไป แต่ส่วนใหญ่ พ่อแม่ทำนากันทั้งนั้นครับ การบ้านทำไม่เคยทันซักที 555555555 ป.6 ,ป.7 ก็ได้ไปหัดเดินแถว เข้าจังหวะกลอง ก็คือเดินพาเหรดนั่นแหละครับ มีขบวนกลองแต๊ก กลองใหญ่นำหน้า นักเรียนก็เดินตามหลังให้เท้าพร้อมกัน สนุกดี แต่ก็ร้อนเหมือนเดิม ได้ไปเข้าค่ายลูกเสือนอกสถานที่ด้วย เช่นตามอ่างเเก็บน้ำเป็นต้น ฯ อ้อ มีอีกวิชานึงที่เพิ่มเข้ามาคือ วิชา งานไม้และวิชาจักสาน ง่นไม้ ได้ทำเก้าอีม้ายาว แบกไม้กลับบ้านไปทำ อันนี้จำได้ว่า ผมทำไม่เสร็จ แบกไม่ไปคืนโรงเรยน หนักครับ เหลาไม่พลองลูกเสืออีกอัน เป็นไม้สี่เหลี่ยมยาวเมตรห้าสิบ เอามาเหลาให้กลมเป็นไม้พลองลูกเสือ ไอ้้ไม้ง่ามเล็กๆอะ ไม่ใช่ครับ ใช้ไม้พลอง ตีหัวแตกก็แล้้วกัน เรียนเสร็จเอาไปเก็บหลังห้องเรียนของใครของมัน วิชาจักสานก็ ทำตอก หรือจักตอกไม้ไผิ สาน กระบุง ทอแหดักนก ฯ ประมาณนั้นครับ เท่าที่จำได้
จบ ป.7 ออกมาได้ คุณว่าผมจะไปทำงานอะไที่พอจะหาเงินมาใช้จ่ายได้ไหมครับ
พอขึ้น ม.ศ.1 เริ่มเป็นเด็กโตละ แต่มีเรื่องน่าเจ็บใจก็คือ ต้องเรียนพร้อมกับรุ่นน้องที่จบ ป.6 แล้วมาชึ้น ม.1 หลักสูตรใหม่ พอจบ ม.ศ.3 และ ม.3 ถ้าไปเรียนสายอาชีวะก็ไปเรียน ปวช1 ด้วยกันเลย เซ็งมากๆ เรียนเปล่าๆมาปีนึง พวกผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ตัวย่อว่า ม.ศ. ครับ แต่ใครเรียนสายาสมัญก็เรียนแค่ ม.ศ.5 แล้วไปสอบเอนทร้านส์ได้เลย ส่วนพวก ม. ต้องเรียนถึง ม.6 ตามไปเป็นรุ่นน้องในมหาวิทยาลัยต่อไป
ม.ศ.1-2 ผมเรียนที่เดิม วิชาที่เรียนก็เหมือนเดิม แต่ ซับซ้อนขึ้นตามหลักสูตร สี่วิชาหลัก ภาษาไทย คณิตฯ อังกฤษ เลขฯ ผมนี่คาบเส้นมาตลอด เพราะมัวแต่หันไปเล่นบาสฯ ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับในตอนนั้น เหมือนมันได้้ระบายออกในหลายๆเรื่อง ไม่อยากกลับบ้านเร็วก็เล่นบาสฯ จนมองไม่เห็นลูกนั่นแหละครับ วิชาวาดเขียนก็เปลี่ยนเป็นวิชาศิลป เพิ่มวิชาเขียนแบบเข้ามาอีก วิชาเกษตรก็็ยังมี คราวนี้ ปลูกต้นหอมกันแปลงละสองคน ของใครเหี่ยวตายก็ตก เสาอาทิตย์ก็ต้องไปรดน้ำเช้า เย็น
ม.ศ.3 ผมถูกย้ายเข้า กทม เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนโรงเรียน เปลี่ยนเพื่อนอีกแล้วแต่คราวนี้ใช้ภาษาไทยภาคกลางค่อยดีหน่อย คราวนี้เจอของหนักเลยครับ วิชาหลักๆก็ยังเหมือนเดิม แล้วก็คาบเส้นเหมือนเดิม เทอมสองสอบตกอีกต่างหาก เพราะคะแนนรวมไม่ถึง 50% โชคยังดีที่มีสามเทอม ใช้เทอมสุดท้ายแก้ตัวได้ รอดไป ไม่งั้นก็ไม่รู้จะไปนั่งเรียนที่ไหนแล้ว เพราะ ม.ศ.3 มันไม่มีแล้วนั่นเอง ที่นี่มีวิชา ไฟฟ้าเบื้องต้น เพิ่มาอีกหนึ่ง ให้นักเรียนรู้จักวงจรไฟฟ้าแสงสว่าง เดินสายไปต่อสวิทย์ต่อหลอดไฟด้วย ทำบนแผ่นไม้้อัดของใครของมัน
เหมือนเดิมครับ คำถามคือ ถ้าผมเรียนต่อไม่ได้ ผมจะไปทำงานอะไรที่ได้เงินมั่ง
แต่ปัจจุบันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าหลักสูตรการเรียนการสอนมันเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหนแล้ว แต่มันคงไม่เหมือนที่ผมเรียนเมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้วแน่ๆ
หกโมงเช้าแล้วครับ เรื่องนี้ยาวจริงๆ ยังหาทางลงไม่เจอเหมือนครับ เอาไว้มาต่อกันอีกตอนนึงก็แล้วกันครับ อรุณสวัสดิ์ครับทุกท่าน
6:08 น.
......................................................................................................