16 สิงหาคม 2567 23:16 น สวัสดี016ยามค่ำคืนครับทุกท่าน คืนนี้จะพาทุกท่านย้อนอดีตไปสักหน่อย ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ประมาณต้นปี 2016 หรือ 11 ปีที่แล้วนี่ครับ แต่ก่อนอื่นมาดูข่าวทางน้ำกันสักหน่อย
ช่วงนี้ เป็นช่วงที่กองทัพเรือ ได้ทำการซ้อมขบวนเรือในพระราชพิธี เรียกว่า ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เพื่อถวายผ้าพระกฐิน ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 โดยใช้เรือ 52 ลำ แบ่งขบวนเป็น 5 ริ้ว ยาวทั้งหมด 1200 เมตร ใช้กำลังพล 2200 นาย ในแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงท่าาวาสุกรี ถึง ท่าราชวรดิฐ ส่วนวัน เวลา ที่ซ้อมครั้งต่อไป ก็คือ
ครั้งที่ 4 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2567
ครั้งที่ 5 ในวันที่ 3 กันยายน 2567
ครั้งที่ 6 ในวันที่ 12 กันยายน 2567
ครั้งที่ 7 ในวันที่ 19 กันยายน 2567
ครั้งที่ 8 ในวันที่ 26 กันยายน 2567
ครั้งที่ 9 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567
ครั้งที่ 10 ในวันที่ 10 ตุลาคม 2567
รายละเอียดโดยสรุปไปที่ลิ้งค์ด้านล่างได้เลยครับ ค่อนข้างละเอียดและไม่ยาวมาก
https://www.thaipbs.or.th/news/content/341376
ส่วนอีกข่าวก็คือ เกิดอุบัติเหตุเรือด่วนเจ้าพระยาถูกชนโดยเรือท่องเที่ยว ตามภาพด้านล่างครับ


ภาพนี้ได้มาจาก คลิปข่าว ช่อง 7 ครับ
เรือด่วนเที่ยวขึ้นนี้ เมื่อก่อนผมนั่งกลับบ้านบ่อยมาครับ และส่วนใหญ่ก็จะเดินเข้าไปนั่งข้างๆคนขับเรือไม่ซ้ายก็ขวา ถ้าเป็นตอนบ่าย แดดจะส่องด้านซ้ายของเรือ ผมก็จะไปนั่งทางด้าขวา ใกล้ๆกับที่โดนชนในภาพนั่นแหละครับ

สภาพความเสียหายภายในเรือครับ จาก ช่อง 7 เหมือนกัน
18 สิงหาคม 2567 1:24 น. สวัสดีครับทุกท่าน เมื่อคืน เวปนี้ขัดข้องครับ เซฟ หน้าร้านไม่ได้ เลยต้องก๊อปมาลงในวันนี้ ช้าไปหนึ่งวัน จากข่าวอุบัติเหตุเรือชนกันนั้น ผมก็ได้เคย เตือนเอาไว้หลายหนละ ไม่ว่าจะนั่งเรือข้ามฟาก เรือด่วน หรือไปเที่ยวทางน้ำสารพัดรูปแบบ อย่าเอาแต่เพลิดเพลินกับความสวยงามของภูมิประเทศ ให้หูไวตาไวไว้บ้าง เสื้อชูชีพอยู่ตรงไหน ทางออกจากเรือที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน ก็แค่ให้รู้ไว้ครับแต่อย่าไปเครียดกับมันเดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุกซะเปล่าๆ แต่ถ้าเป็นการนั่งเรือในระยะสั้นๆ เช่นเรือข้ามฟาก หรือเรือด่วน ก็อย่างที่เห็นในข่าวนี่แหละครับ มันจะมาแบบไม่รู้ตัว ทั้งๆที่มองเห็นๆกันอยู่นี่แหละ แต่ไม่มีใครหลบใครเลย เราต้องระวังตัวเองไว้ครับ ในกรณีนี้ถามว่าใครผิด ผมก็ตอบไม่ได้อยู่ดี เพราะกฏหมายทางน้ำ ไม่ได้มีบอกไว้ว่า เรือต้องแล่นชิดซ้ายเหมือนรถยนต์ ไม่มีทางเอก ทางโท และเรือก็ไม่มีเบรค ถึงแม้จะมีเกียร์ถอยหลังก็ตาม แต่มันจะไม่หยุดหรือถอยในทันทีที่เข้าเกียร์ถอยหลังนะครับ ก็ได้แต่วัดใจกันไป ผลก็ออกมาแบบที่เห็นนั่นแหละครับ ระยะต่างๆ เมื่ออยูในแม่น้ำหรือทะเล มันหลอกตาอยู่พิกล ต้องอาศัยความชำนาญของผู้ควบคุมเรือ หรือ เรด้าห์ เท่านั้นเอง และทั้งสองลำนี้ก็ไม่มีเรด้าห์แน่ๆ ก็เลยไม่รู้ว่า เรือตัวเองและลำข้างหน้าห่างกันเท่าไหร่ และมีความเร็วเท่าไหร่ สุดท้ายก็อยู่ที่การตัดสินใจของผู้ควบคุมเรือทั้งสองลำนั่นเองว่าจะทำอย่างไร เดาใจ วัดใจกันไปตามสภาพครับ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนหาสาเหตูกันต่อไป
เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่าครับ เมื่อคืนจั่วหัวเรื่องไว้ ว่าจะพาทุกท่านย้อนอดีตไปที่ปี ค.ศ. 2016 ในปีนั้นผมได้กลับไปทำธุระที่บ้านท่านแม่ อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ ถิ่นเก่าที่ผมเคยได้อยู่อาศัย ได้เรียนรู้สรรพวิชาต่างๆในวัยเด็ก ตลอดหกปีที่อยู่ที่นี่ และได้ใช้มาจนถึงทุกวันนี้
สมัยที่ผมเป็นเด็กและอยู่ที่นี่ ผมแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจังหวัดชัยภูมิ รู้จักแต่อำเภอและหมู่บ้านรอบๆตัวอำเภอที่ตัวเองอยู่เท่านั้น แม้แต่ตัวจังหวัดที่ห่างออกไปแค่ สามสิบแปดกิโลเมตร ผมก็ไม่เคยไปตลอดเกือบหกปี มีโอกาสได้ไปเมื่อปีที่หกนี่เอง เพื่อไปซ้อมกีฬาตอนเย็นแล้วก็กลับตอนหนึ่งทุ่มของรถโดบสารเที่ยวสุดท้าย เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง อำเภอที่ไกลออกไปก็แค่เพียงแต่ได้ยินชื่อเท่านั้น ภูเขียว หนองบัวแดง บ้านเขว้า บำเน็จณรงค์ ซับใหญ่ หนองบัวระเหว เทพสถิตย์ในสมัยนั้นสี่อำเภอหลังนี่ก็เป็นแค่กิ่งอำเภอที่ขึ้นกับอำเภอจัตุรัสมั้งครับ ถ้าจำไม่ผิด อาจจะผิดก็ได้ ปัจุบันก็เป็น อำเภออย่างเต็มตัวแล้ว เวลานั่งรถไฟจาก กทม สาย กรุงเทพฯ หนองคาย จากสถานนี ลำนารายณ์ ทางรถไปก็จะค่อยๆไต่ทางลาดสูงชึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ฝั่งซ้ายมือเป็นเหวลึก มองออกไปไกลสุดสายตาเลยทีเดียว ขวามือก็จะเป็นภูเขาที่สูงข้นไปอีก จุดนี้ผมให้ 10/10 สำหรับความสวยงามของภูมิประเทศที่รถไฟวิ่งผ่านเลยครับ พอลอดอุโมงค์ช่องสำราญแล้วไปโผล่อีกด้านหนึ่งนั่น รถไฟก็ดูเหมือนจะวิ่งอยู่บนรางที่วางอยู่บนสันเขาเตี้ยๆ ทั้งซ้ายและขวามเป็นที่ลาดชันลงไหเล็กน้อยไม่มากนัก จนมาข้ามสะพายดำขนาดใหญ่ที่มีถนนลอดผ่านใต้สะพานไป นั่นแหละครับ อำเภอเทพสถิตย์ และอีกประมาณชั่วโมงของความเร็วรถไฟ ก็จะถึง อำเภอจัตุรัส เลยไปก็สถานนีบัวใหญ่(โคราช) ฯ
ฮ่าๆ โม้ถึงบ้านท่านแม่เพลินไปหน่อยครับโทษที ในดินแดนภาคอีสาน หลายท่านก็คงทราบว่า มีพระสงฆ์อันเป็นบุคคลที่เป็นที่นับถือของชาวบ้านในแต่ละจังหวัดอยู่หลายรูป และในจังหวัดชัยภูมิเอง ก็มีอยู่ไม่น้อย ในปี ค.ศ. 2016 หรือ พ.ศ. 2561 นั้น หนึ่งในพระสงฆ์ที่มีผู้คนเครารพนับถือเป็นอย่างมากก็คือ หลวงปู่สมภาร ซึ่งในปีนั้นท่านได้ มรณะภาพไปแล้ว ปัจจุบัน สังขารของท่าน อยู่ในโลงแก้ว ที่วัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ห่างจากตัวเมืองไปทางอำเภอแก่งสนามนาง และบัวใหญ่ ประมาณ สิบกว่ากิโลเมตรครับรับ
ก่อนที่ท่านจะมรณะภาพไปนั้น ท่านเป็นที่เรื่องลือในเรื่องการช่วยคนที่มีทุกข์ต่างๆน่าๆด้วยวิธี นำพวกเขาเหล่านั้นไปทำบุญตามพื้นที่กันดารต่างๆ ในจังหวัดชัยภูมิและใกล้เคียง มีลูกศิษยืมากมาย ทั้งข้าราชการ เสษฐี และชาวบ้านทั่วไป พากันสนับสนุนท่านมิได้ขาด ไม่ว่าท่านจะไปทำอะไรที่ไหน รับเงินมาปุ๊ป ก็ให้ออกไปปั๊ป ผมก็เคยได้ ท่านแม่ถวายเงินใส่ซองให้ท่าน ท่านก็แกะซองเอาเงินออกมา ยืนส่งให้ผม ต่อหน้าท่านแม่ตรงนั้นนั่นเอง ไม่เอาก็ต้องเอาล่ะครับ 555555
แต่ในช่วงเวลาที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่เคยได้ไปกับท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะทำงานอยู่ใน กทม มีแต่ท่านแม่ พี่ชาย และน้องสาว ที่ได้ไปกับท่านบ่อยๆ แล้วก็มาเล่าให้ลูกๆฟัง
วิธีที่ท่านพาไปทำก็คือ พาเข้าไปในถิ่นธุระกันดาน เพื่อ สร้าง ซ่อม ถนน และสะพาน ซะเป็นส่วนใหญ่
นี่ก็จะตีสามแล้วครับ เรื่องนี้ยาวแน่ๆ ขอมาต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกันครับ ราตรีสวัสดิครับทุกท่าน
2:25 น.
19 สิงหาคม 2567 0:09 น ก่อนจะไปว่ากันต่อ ก็ขอแวะนำเสนอข่าวอุบัติเหตุทางน้ำซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ คืนวันที่ 17 สิหาคม หรือ เมื่อคืนนี้กันก่อนครับ และขอแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิตทั้งสองท่านด้วยครับ
เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับบางท่านมากเหลือเกิน และผมก็เคยเป็นหนึ่งในผู้โดยสารเรือข้ามฟากตอนกลางคืนเหมือนกัน แต่เรือที่ลงไปนั่งเป็นเหมือนเรือแจว นั่งได้ประมาณ สิบคน เอามาติดเครื่องหางยาว กำลังไม่กี่แรงม้าเท่านั้น ได้อาศัยนั่งข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบ่อยมากเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว คนขับเรือก็เป็นลุงแก่ๆคนนึงที่หากินอย่างนี้มานานหลายสิบปี ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปนานมากแล้วครับ
กว่าเรือจะออกก็ต้องรอให้ได้คนพอสมควร ลงไปนั่งเป็นสองแถว ค่าเรือคนละสิบบาท เริ่มมาวิ่งตั้งแต่สองทุ่ม หลังจากเรือข้ามฟากลำใหญ่หยุดวิ่งไปแล้ว จากท่าเรือเทเวศ ข้ามไปส่งยังท่าเรือ วัดบวรมงคล และท่าเรือวัดคฤหบดี เวลาลงเรือก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เวลาขึ้นจากเรือนี่สิ พวกเล่นลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน จนต้องคอยเตือนกันบ่อยๆว่าไม่ต้องรีบ ลุกทีละคนก็ได้ ฯ
แต่ระหว่างที่เรือออกจาท่าเรือเทเวศนี่สิครับมองไปทางไหนก็มืดไปหมด เห็นแต่ดวงไฟฟ้าที่เปิดอยู่สองริมฝั่งไม่กี่จุดเท่านั้น มีแต่แสงที่สะท้อนกับผิวน้้ำ เป็นระลอกยาวๆ มืดๆ หายๆ หันไปมองคนข้างๆแทบจะไม่เห็นหน้ากันเลย แต่ถ้าคืนไหนเดือนหงายก็ค่อยดีหน่อย มองเห็นอะไรได้ไกลขึ้น และในแม่น้ำเจ้าพระยาเวลาอย่างนี้ ไม่ค่อยมีเรือแล่นไปมาเลย นอกจากนานๆที จะมีเรือโยงลากเรือโป๊ะผ่านมาที เห็นดวงไปที่เสากระโดงของเรือลาก สว่างอยู่หลายดวง และเสียงเครื่องยนต์เรือลากก็ค่อนข้างจะดัง ในเวลากลางคืน เรือหางยาวที่ผมนั่งไปก็ไม่มีไฟอะไรเลยนะครับ ไปกันทั้งมืดๆอย่างนั้นแหละ เสียวดีพิลึก รับรองได้ว่า ถ้ามีเรือสวนมาหรือแล่นตามหลังมา เขาจะไม่มีทางเห็นเราแน่ๆถ้าไม่ฉายไฟค้นหาออกมา และถ้ามาเร็วๆแบบสปีดโบ๊ทหรือเจ๊ตสกีแล้วล่ะก็ หมดสิทธิที่จะเห็นเลยก็แล้วกัน จะเห็นก็เมื่อใกล้จะชนหรือชนไปแล้ว เพราะด้วยความเร็วที่แล่นมานั่นเอง
วิถีชีวิตของชาวบ้านริมแม่น้ำทุกสายก็จะเป็นแบบนี่มานานมาก ตั้งแต่ยังเป็นเรือแจว เรือพาย แล้ว ในแต่ละชุมชนริมน้ำก็จะมีเรือข้ามฟาก หรือเรือรับจ้างแบบนี้อยู่ไม่น้อย ตั้งปากน้ำสมุทรปราการ เข้ามาเรื่อย ถึงบางนา ราชบูรณะ พระประแดง สาธร สี่พระยา สะพานพุทธ ปากคลองตลาด ท่าช้าง ท่ายมราช ท่าพระอาทิตย์ ท่พระจันทร์ ฯลฯ จนถึง ปากเกล็ด และย้อนขึ้นไปอีกมาก
เมื่อหลายสิบปีก่อน ผมเคยถามเจ้านายที่มีความคุ้นเคยกับข้าราชการของกรมเจ้าท่า ว่าทำไม ในแม่น้ำเจ้าพระยาถึงไม่มี มารีน่า สำหรับเรือหรูหราและเรือสปีดโบ๊ทเลย คำตอบที่ได้ก็คือ เข้าใจว่า แม่น้ำเจ้าพระยาช่วง นนทบุรีลงมาจนถึง ปากน้ำสมุทรปราการนั้น เป็นเส้นทางของเรือขนส่งซะมาก และก็มีเรือชาวบ้านอย่างที่ว่ามาอีกไม่น้อย ดังนั้นถ้ามีเรือที่แล่นเร็วมากๆ มาใช้มางน้ำร่วมกัน ก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้มากนั่นเอง อ้าวแล้วพวกเรือหางยาวซิ่งๆ ที่เห็นประลองความเร็วกันทำไมใช้ได้ ก็ใช้ได้ในระยะไม่ไกลหรอกครับ เรียกว่า ถิ่นใครก็ถิ่นมัน เขาจะไม่เอาเรือพวกนี้มาแล่นกันในระยะยาวเลย
มาถึงสมัยนี้ อะไรก็เปลี่ยนไปมาก แต่ความประมาทของคน ไม่เคยที่จะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ขนาดตามชายทะเล เขายังกันที่ไว้ให้เรือต่างชนิด จอดทิ้งสมอ และก็ห้ามเรือบางชนิด เข้ามาอีกต่างหาก ก็เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับคนที่ลงไปเล่นน้ำนั่นเอง
20 สิงหาคม 2567 2:33 น. เมื่อคืนช๊อตไปเฉยๆซะงั้น ง่วงมาก หลับยาวเลยครับ มาต่อจากเมื่อคืนกันอีกซักหน่อยครับ
ตั้งแต่แม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มที่ กิโลเมตรที่ศูนย์ จังหวัดนครสวรรค์ สองริมฝั่งก็จะมีชุมชนตั้งอยู่มากมาย แต่ละชุมชนก็จะมีการสัญจรทางน้ำด้วยเรือเล็กๆ เป็นจำนวนมาก บางคนในชุมชนก็ทำเป็นอาชีพเช่น เป็นเรือรับจ้างข้ามฟาก หรือรับส่งคนตามบ้านริมน้ำเหมือนมอเตอร์ไซด์รับจ้างบนบก พวกเขาเหล่านั้นจะมีความชำนาญในสภาพภูมิประเทศ และการควบคุมเรือของเขาเองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเวลากลางวันหรือกลางคืน รวมถึงพวกที่มีอาชีพขับเรือลากจูง ขึ้น ล่อง บางพวงนี่ออกไปถึง ศรีราชาก็มีนะครับ คนพวกนี้ จะรู้จักคุ้งน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอย่างดี ในทุกเวลาและฤดูกาล เพราะเขาใช้ เขาเดินทางอยุ่บนแม่น้ำสายนี้มาเป็นหลายสิบปี บางคนเรียกได้ว่า เกิดกันบนแม่น้ำเลยก็มี
สภาพทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำ พวกเขาก็จำได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเป็นเรือชาวบ้านทั่วไป เขาก็จะคุ้นชินเฉพาะในระแวกบ้านเขาเท่านั้น เรื่อยมาจนถึง ปากน้ำสมุทรปาการก็มีสภาพเช่นเดียวกัน ชุมชนใครชุมชนมัน หรือถิ่นใครก็ถิ่นมันนั่นเองครับ พอออกนอกถิ่น ถ้าไม่จำเป็นเขาก็จะไม่นำเรือเล็กๆของเขาออกมาเลย
แต่ปัจจุบัน เริ่มมีสถานที่ "รับฝากเรือ" เอามาเก็บไว้บนฝั่ง ซึ่งก็จะเป็นพวก เรือสปีดโบ๊ท และเจ๊ตสกี นั่นเอง เจ้าของเรือส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น กทม หรือจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งนานครั้งก็จะได้มีโอกาสไปขับเรือของตัวเองซักที บางคนเป็นปี ออกเรือนับจำนวนครั้งยังไม่ครบหนึ่งมือเลยด้วยซ้ำ ถึงจะเป็นมารีน่าจริงๆ ที่อยู่ตามจังหวัดท่องเที่ยวทางน้ำของไทย ก็จะมีสภาพไม่ต่างอะไรกันเลย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความชำนาญเส้นทาง ภูมิประเทศ และกระแสน้ำ ฯ ในเส้นทางที่เขาเหล่านั้นนำเรือหรือเจ๊ตสกี ออกมาใช้งาน ยิ่งเป็นเวลากลางคืนนี่ บอกได้เลยว่า เสี่ยงมากกว่าผมนั่งเรือข้ามฟากตอนกลางคืนซะอีกครับ ขนาดผมข้ามแม่น้ำตอนกลางคืนบ่อย ผมยังแยกไม่ออกเลยว่า ท่าเรือไหนคือท่าเรืออะไร เมื่อมองจากกลางแม่น้ำเจ้าพระยา จนกว่าเรือจะเข้าไปใกล้นั่นแหละถึงจะพอรู้บ้างว่า ใช่ท่าเรือที่ผมจะต้องขึ้นไปหรือไม่
ผมเคยนั่งเรือสปีดโบ๊ท ออกจากเกาะกูดตอนเกือบมืดแล้ว พอท้องฟ้ามืดสนิท มองไปที่ฝั่ง อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด สาบานได้ว่า ถ้าผมมาคนเดียวและเรือไม่มีเรด้าห์ ผมไม่มีทางจะนำเรือเข้าเทียบท่าที่ต้องการได้อย่างถูกต้องแน่นอน เพราะมันเหมือนกันไปหมด มีแต่แสงสว่างจากดวงไฟหลากหลายดวง พราวตาไปหมด ทำได้แค่เพียงไปให้ถึงฝั่งแล้วค่อยๆเลาะหาเอาเท่านั้น และการทำเช่นนั้นก็จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเองมากขึ้นไปอีก เพราะผมไม่รู้เลยว่า ตรงไหนมีโขดหิน ตรงไหนน้ำตื้น ตรงไหนมีตอ ฯลฯ อย่าว่าแต่ตอนกลางคืนเลยครับ ต่อให้เป็นกลางวันแดดเปรี้ยงๆนี่ก็เถอะ เพราะมันเหมือนกันไปหมดนั่นเองในสายตาของผมที่ไม่คุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศ และร่องน้ำในบริเวณนั้น
สภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่ต่างครับ ริมแม่น้ำบางพื้นที่ ถึงจะมองด้วยตาว่ามีน้ำ แต่ใต้นั้น มันมีมากกว่าน้ำนะครับ มีตอไม้ มีหิน มีแท่งคอนกรีต มีโคลนหรือเลน ที่อยู่ใต้น้ำลงไปแค่ ไม่กี่สิบเซ็น ฯ แต่ชาวบ้านแถวนั้นเขารู้ครับว่า เวลาไหน ไปได้ เวลาไหนไปไม่ได้ และบริเวณไหน ห้ามเข้าไปใกล้ ตรงไหนใช้ความเร็วได้ ตรงไหนต้องชลอไปเรื่อยๆ ฯ ดังนั้น ถ้าเจ้าของเรือท่านใดที่คิดจะนำเรือท่องแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นระยะทางไกลๆ ก็ควรจะศึกษาสภาพของแต่ละพื้นที่และแต่ละชุมชนให้ดีก็จะเป็นการดีไม่น้อย และถ้าไม่จำเป็นก็อย่านำเรืออกไปในเวลากลางคืนเลยครับ มันอันตรายมาก แค่เรือลากจูง เรือบรรทุกน้ำมัน เรือบรรทุกปูนซีเมนต์ เรือด่วน เรือข้ามฟาก และเรือของชาวบ้านที่ใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา ก็เสี่ยงมากพออยู่แล้ว ขอได้โปรด อย่าได้ไปเพิ่มความเสี่ยงให้พวกเขาเหล่านั้นอีกเลยครับ หรือไม่งั้นคุณลองลงไปนั่งเรือด่วนจากปากเกล็ด ล่องลงมาถึงท่าเรือสาธรดูก็ได้ แล้วจะเข้าใจว่า ถ้าไม่ชำนาญจริงๆแล้ว อยากมากที่จะนำเรือล่องลงมาได้อย่างปลอดภัย ยิ่งแถวๆท่าพระจันทร์ ท่าช้าง นี่ ตอนกลางวันก็เต็มไปด้วนเรือนำเที่ยวสารพัดชนิด พอเลยสะพานพุทธไปนี่ก็วุ่นวายพอกัน และแม่น้ำช่วงนี้จะเริ่มแคบลงและเป็นทางโค้งอีกต่างหาก พอถึงแถวๆคลองสาน สี่พระยา ยิ่งแคบเข้าไปอีก กระแสน้ำก็ค่อนข้างแรงเวลาน้ำลง พอเลยไปถึงสาธร ขนาดของเรือที่เห็นก็จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ขึ้นมาหน่อย จนลอดใต้สะพานกรุงเทพไป ขนาดของเรือก็จะใหญ่ขึ้นไปอีก มีทั้งที่เทียบท่าขนถ่านสินค้า ทีทั้งทิ้งสมอจอดอยู่กลางน้ำ และก็มีทั้งกำลังแล่นเข้าและออกจากท่เรือบริเวณนั้น มีอู่ลอยสำหรับซ่อมเรือเดินทะเลขนาดความยาว เกือบร้อยเมตร อยู่หลายอู่แล้วก็จะมีเรือสินค้าขนาดใหญ่เทียบท่่าซ้อนกันอยู่อีกหลายลำ หลายที่ กว่าจะถึงปากน้ำ ผมรับรองได้ว่า เพลินมากครับ แต่ถ้ามือใหม่ ผมไม่แนะนำเลย ไม่ว่าจะเป็นเรืออะไรหรือแม้แต่เจ๊ตสกี
ตีสามครึ่งแล้วครับ ขอจบเรื่องนี้เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้มาตามอดีตของผมกันต่อครับ ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน
3:30 น.
......................................................................................................