7 มีนาคม 2567 12:35 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน วันนี้มีเรื่อมาเล่า ถือว่าอ่านนิยายก็แล้วกันครับ อาจจะไม่สนุกเท่าไหร่
ผมและอีกหลายๆท่านที่อายุใกล้ๆกันอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนสองยุคสมัยก็ว่าได้ เพราะพวกเราได้ผ่านพบเรื่องราวและเทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็วและมีผลกระทบต่อคนรุ่นผมเป็นอย่างมาก เช่น การทำการบ้าน การส่งรายงาน เมื่อก่อนนี่ ลายมือตัวเองล้วนๆ จะเข้าห้องสมุดหาหนังสือก็ต้องรอคิวยาวเหยียด แนวข้อสอบก็ต้องไปหาซื้อเอาเองอีก เป็นแบบใช้เครื่องโรเนียว หรือเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก ใช้แต่หมึกดำ กระดาษสีเหลืองๆ เข้าห้องสอบก็เจอกนะดาษสีเดียวกันนี่แหละครับ รู้จักกับเครื่องคอมพิวเตอร์ครั้งแรกก็ตอนเรียน ปวชหนึ่ง ปี 2524 มันคือเครื่อง ซินแคร์ Z-80 แล้วก็มี PC แบบตั้งโต๊ะหน้าตาเหมือนทุกวันนี้นั่นแหละครับ แต่สเป๊คคนละโลกกันเลยก็ว่าได้ ram 256 k cpu อะไรก็ไม่รู้ ฮาร์ดดิสก็ไม่มี เวลาจะใช้ก็เปิดเครื่อง แล้วก็ใส่แผ่นดิสน์ ขนาด 5.6" แผ่นบางๆเหมือนกระดาษอยู่ในซองพลาสติกอีกชั้นนึงเพื่อรัน DOS หรือระบบปัฎิบัติการเข้ามาในเครื่องก่อน หน้าจอก็จะสีดำๆ มี a: และ_กระพริบอยู่แค่นั้นเอง...สมัยนั้นมีอยู่แค่นั้นจริงๆ แต่ภาษาที่ใช้ทำงานกับมันมีหลากหลายมาก เช่น basic ,C ฯ Z-80 ก็ใช้ basic เขียนเหมือนกันครับ แต่เครื่องเล็กนิดเดียว จำหน้าตาไม่ได้ละ งานต่างๆที่ต้องการก็จะเป็นพวกการคำนวนซ้ำๆ หรือแสดงผลเป็น ตัวเลขและตัวหนังสือซะเป็นส่วนใหญ่ จำได้ว่า สูตรคูณที่เราท่องๆกันสมัยเด็กผมก็เชียนโค๊ดได้เหมือนกัน ไม่กี่บรรทัดเองครับ มันคูณได้ยันแม่ร้อยเลยทีเดียว นั่นน่าจะเป็นยุคที่สองของคอมพิวเตอร์ก็ว่าได้ เพราะได้ยินอาจารย์เล่าให้ฟังว่า มีคอมฯที่ทรงพลังมากกว่า ขนาดใหญ่กว่า อยู่ตามมหาวิมยาลัยของอเมริกา มันทำงานด้วยภาษา ฟรอแทรน หรือ RPG ฯ ก็ได้ โดยเขียนลงไปในการ์ดเฉพาะ แล้วพอนำไปเข้าเครื่องมันจะเจาะเป็นรูเหมือที่คุณครูตรวจข้อสอบเราสมัยก่อน โดยใช้ ตุ๊คตู่เจาะเป็นวงกลมเล็กๆ ประมาณนั้นครับ
เรื่องตรวจข้อสอบวิธีนี้ก็มีเรื่องเล่าอีกอย่าง ไม่รู้จะฮาดีป่าว คือ กระดาษคำตอบมีแค่ ก...,จ ห้าตัวเลือกเท่านั้น วิธีตรวจก็เอากระดาษคำตอบของทั้งห้องมาซ้อนกันโดยมีกระดาษคำตอบของครูที่เจาะรูไว้แล้วอยู่บนสุดเพื่อจะดูว่าจะเจาะช่องไหนมั่ง แล้วก็ใช้เจ้า ตุ๊ดตู่นี่แหละครับเจาะเอา ตอกปังเดียว ได้หนึ่งรู แต่ได้ครบทุกแผ่น สามสิบ สี่สิบแผ่น ก็แล้วแต่จำนวนนักเรียนในห้อง พอตอกครบทุกช่องแล้วก็มานั่งนับทีละแผ่น ข้อไหนที่มีรูไม่ตรงกับที่กาไว้แสดงว่าตอบผิด 55555 มันก็มีนักเรียนคิดเยอะอยู่มั่ง พอพวกรู้ว่าครูตรวจข้อสอบวิธีนี้ก็หวานเลยครับ เวลาขีดกากบาด ก็ขีดตัวเล็กๆ ข้อไหนตอบไม่ได้ ก็ข้ามไปเลยเว้นว่างไว้ รับรองว่ายังไงก็ถูกแน่ๆ....... จะว่าคุณครูไม่ทันนักเรียนก็เห็นจะได้ครับ แต่อย่างว่า คนผิดไม่เคยลอยนวล เมื่อผลเป็นที่น่าเชื่อถือได้ก็อย่ากระนั้นเลย พวกที่หัวทึบๆเรียนไม่เก่งแต่อยากได้คะแนนเยอะๆก็เล่นไม่กาข้อสอบเลยที่เดียว โดยนึกว่าผลที่ได้จะได้คะแนนเต็ม แต่ลืมไปว่า คุณครูก็จำเก่งเหมือนกันโดยเฉพาะพวกที่ได้คะแนนดีเรียนเก่ง กับพวกที่เรียนห่วยคะแนนบ๊วย เรื่องมาแตกก็ตอนที่นับคะแนนนี่แหละครับ ทำไมเจ้าบ๊วยนี่ถึงได้คะแนนเต็มอะ ก็เป็นเรื่องกันขึ้นมา ข่าวไม่ได้บอกว่าไปจบที่ไหนยังไงนะครับ เพราะผมเองก็แค่ได้ยินมาเท่านั้นเอง อีกกรณีหนึ่งนี่เพื่อนผมเอง สอบวิชาภาษาอังกฤษ วันนั้นวิชาที่สอบส่วนใหญ่มี 50 ข้อ ร้อยคะแนน แต่ก็มีบางวิชาที่มี เกินมาบ้าง ภาษาอังกฤษก็มีแค่ 50 ข้อเหมือนกัน วันนั้น ก่อนสอบอังกฤษ ก็เป็นวิชาอื่นมี 70 ข้อมั้ง ทีนี้พอแจกข้อสอบอังกฤษเสร็จไม่ถึงสินาที เพื่อนผมมันก็ลุกไปส่งข้อสอบกับคุณครู แล้วก็แน่บกลับบ้านไปเลยเพราะเป็นวิชาสุดท้ายของวันนั้น เช้าวันต่อมาเข้าแถวหน้าเสาธง ก็มีเสียงออกลำโพงให้ นาย... ออกมายืนหน้าเสาธง และประกาศว่า เธอเก่งมากที่ทำข้อสอบภาษาอังกฤษมาครบ 70 ข้อ แต่...........ข้อสอบของขั้นนี้มี 50 ข้อ เอ้าทุกคน ตบมือให้เพื่อนหน่อยยยยยยย................ตอนนั้นสอบเทอมแรก ม.ศ. 2 ครับ 555555
ข้ามมาตอนทำงานดีกว่า ที่เหลือเอาไว้เล่าทีหลังครับเผื่อนึกอะไรไม่ออก ช่วงปี 2530 ในวงการออกแบบก่อสร้างอาคารนี่ สถาปนิคเป็นใหญ่ครับ รับงานมามูลค่า 100 จะเป็นค่าจ้างของวิศวกร ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็น สองอาชีพนี้อยู่คู่กันอย่างนี้มาตลอดจนกระทั่ง เกิดการถล่มของอาคาร และสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆหลายแห่งคนที่เป็นจำเลยหมายเลขหนึ่งกลับเป็น วิศวกร ซะงั้น เพราะโดยเนื้องาน อาคารหรือโครงสร้างนั้นจะแข็งแรงหรือไม่ก็อยู่ที่วิศวกรนั่นเอง สถาปนิค มีหน้าที่ออกแบบยังไงก็ได้ให้มันสวยถูกใจเจ้าของโครงการ จะโค้งจะเว้า จะเลื้อยไปทางไหน วิศวกรมีหน้าที่ต้องใส่โครงสร้างและวัสดุให้แข็งแรงให้ได้ คำว่าทำไม่ได้ไม่มีในหัวของสถาปนิคครับ แต่ทุกข์หนักก็มาตกที่วิศวกรอีกนั่นแหละ ประมาณว่า เมิงจะออกแบบอะไรมาเนี่ยไม่ถามกุซักคำว่ามันจะสร้างได้ไหมฟะ ประมาณนั้นครับ
หลังจากเกิดอุบัติเหตุ อาคารถล่ม ก็เกิดการแยกตัวในการรับงาน ราคาค่าตัวของวิศวกรไม่ได้ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นของการรับงานของสภาปนิคอีกต่อไป ราคาพุ่งขึ้นสูงมากอาจจะ พอๆกันหรือสูงกว่าสถาปนิคอีกต่างหาก เพราะถ้าเกิดเหตุ วิศวกรโดนก่อนและโดนหนักด้วย ฯ
นั่นคือเรื่องของวงการก่อสร้างบนบกครับ ในน้ำเอาแบบเข้าใจง่ายๆในบ้านเราก็ การสร้างเรือก็แล้วกัน แตกต่างจากวงการก่อสร้างบนบกโดยสิ้นเชิง เหมือนผมจะเคยเล่าไปแล้วแต่ไม่เป็นไรครับ ซ้ำอีกทีก็ได้ การออกแบบเรือ สถาปนิคผู้ออกแบบเรือและวิศวกรผู้ใส่โครงสร้างเรือ เป็นคนเดียวกันครับ หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินหรือได้เห็นคำว่า Naval Architecture กับคำว่า Marine Engineering มาบ้างแล้ว คนที่เรียน Naval Architecture เปรียบเที่ยบกับในบ้านเราก็เหมือนเรียนสถาปนิคนั่นเองแต่แตกต่างกันมากตรงที่เขาจะเน้นไปที่โครงสร้างและแรงต่างๆที่มากระกับเรือและแรงที่จะต้องใช้ในการเคลื่อนที่ของเรือ และอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรือในอาการต่างๆที่ความเร็วต่างๆและที่น้ำหนักต่างๆ ฯ ซึ่งจะเน้นไปในทางวิศกรรมซะเยอะเลยทีเดียว จะแตกต่างจากสถาปนิคบนบกเป็นอย่างมาก ลองเที่ยบแบบชัดๆก็ได้ครับ แผ่นดินไหวขนาดที่ทำลายอาคารได้นั้น มันจะแรงเท่าคลื่นลมที่มากระทำกับเรือไหม เรือลำใหญ่เท่าตึก แต่สามารถกระดกหน้ากระดกหลังแล่นฝ่าคลื่นสูงๆแรงๆได้โดยไม่จมหรือเสียหายมาก แต่ตึกโดนเขย่าด้วยแรงแผ่นดินไหวไม่กี่นาทีบางหลังก็ไม่รอดแล้ว นั่นเพราะโคงสร้างและวัสดุมันไม่เหมือนกันนั่นเอง และแนวคิดในการออกแบบก็ไม่เหมือนกันด้วย ฯ ประมาณนั้นครับ แต่คำว่า Marine Engineering ถ้าตัดคำว่า Marine ออกไป ก็เป็นวิศวกรดีๆนี่เองแต่จะอยู่ในสาขาไหนนั่นก็อีกเรื่อง พวกนี้ เท่าที่ผมเข้าใจเขาจะหนักไปในพวกเครื่องยนต์ เครื่องกลหรือโครงสร้างใหญ่ๆที่เคลื่อนที่ได้เช่น เครนหรือ กว้านต่างๆ ที่อยู่บนเรือหรืออยู่ในทะเล เช่นบนแท่นขุดเจาะน้ำมัน ฯ ประมาณนั้นครับ มันก็จะคาบเกี่ยวกันอยู่กับ Naval Arc. พอสมควร(ถ้าผิดตรงไหนรบกวนท่านผู้รู้แนะนำมาได้ครับผมจะได้นำลงมาแก้อีกที ขอบคุณครับ)
ในประเทศเราที่เรียนเรื่อง Naval Arc. ได้ตรงที่สุดก็เห็นจะเป็นที่ ม.เกษตศาสตร์ เท่านั้น(ไม่นับโรงเรียนนายเรือครับ เพราะที่นั่นผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาเรียนอะไร นอกจากทราบว่าจบออกมาแล้วก็เป็นทหารเรือครับ แต่อย่างที่เคยเล่ามาแล้ว ว่าผมก็เคยได้เรียนรู้จากทหารเรือหลายๆท่านที่มารับงานจากบริษัทหลังเลิกงาน ซึ่งท่านเหล่านี้ได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศในสาขาออกแบบเรือมาโดยตรง) ซึ่งในเดือนหน้า ก็จะมีนักศึกษามาฝึกงานกับเจ้านายผมเหมือนปีที่แล้ว ในสาขาออกแบบเรือนี่แหละครับ แต่หลักสูตรจริงๆผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าชื่อเต็มๆเขาเรียกว่าอะไร แต่ดูจากการฝึกงานแล้ว พวกเขาสามารถ ออกแบบเรือและคำนวนค่าต่างๆที่สำคัญได้หมดทุกคน เรียกได้ว่า จบมาก็สามารถออกแบบและเซ็นแบบเรือได้อย่างเต็มตัวเลยทีเดียว ที่ขาดก็แค่ประสพการณ์ในการทำงานเท่านั้นเองครับ
แต่ แต่ แต่.........เท่าที่ผมอยู่ในวงการออกแบบเรือมานาน เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็คือ รูปร่างหน้าตาของเรือที่ต่อในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นเรืออะไรก็ตาม มักจะมีรูปร่างใกล้เคียงกับเรือเดิมๆที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ประมาณว่าดูกันมา ลอกกันไป ซึ่งผมก็เป็นเหมือนกันครับ 555555
ในบ้านเรา คนที่เรียนจบด้านการออกแบบเรือว่าน้อยแล้ว ในจำนวนนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถ ออกแบบเรือให้มีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีกว่าปัจจุบันได้
เช่นในยุโรป ก็จะมี อิตาลี่ ที่เป็นเจ้าวงการในการออกแบบเรือหรูหราหมาเห่าราคาแพงลิบลิ่ว ข้ามมาฝั่งอเมริกาเจ้านี้ก็บ้าพลังเหลือเกินครับ สปีดโบ๊ทลำนิดเดียวยัดเครื่องยนต์ติดท้ายเป็นหลายร้อยหรืออาจจะถึงพันแรงม้าก็เห็นบ่อยๆตามคลิป และทั้งสองที่ รูปร่างหน้าตาของเรือประเภทต่างๆ ก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรือสปีดโบ๊ท เรือเฟอรี่ เรือบรรทุกสินค้า ฯ ยิ่งเรือยอชน์นี่ยิ่งไปกันใหญ่ มันดูเหมือนยานอวกาศเข้าไปทุกที ถ้ามันลอยพ้นน้ำได้นี่ก็ใช่เลยทีเดียวครับ
จุดอ่อนของเราก็คือ นอกจากคนจะน้อยแล้วยังหานักออกแบบ รูปร่างเรือสวยๆ ได้ยากมากอีกต่างหาก ลองนึกภาพของวิศวกรมาออกแบบเรือสวยๆดูสิครับ มันผิดฝาผิดตัวกันขนาดไหน
ที่ว่ามาก็เป็นแค่นิยายเท่านั้นเองครับ อ่านเอาเพลินๆ อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมันเลยครับไว้จะหานิยายเรื่องอื่นมานำเสนอมั่งดีกว่า
นี่ก็ตีสามกว่าๆละ ขอกล่าวคำว่า ราตรีสวัสดิ์กับทุกท่าน ขอให้มีสุขภาพดีกันทุกท่านครับ
3:16 น.
............................................................................................................................