เรือ อเนกประสงค์(MULTI-PURPOSE)

5 ปีที่ผ่านมา
โดย เจ้าของร้าน


           
                วันนี้วันที่ 13 ธ.ค. 2562 (อัปเดท 22-12-2562 จบแล้วครับ)
           มาต่อจากวันที่ 11 ธ.ค. 2562 กันครับ เลื่อนลงไปต่อกันเลยครับ
       วันนี้วันที่ 11 ธ.ค. 2562 เหลืออีกไม่ถึง 20 วันก็จะได้หยุดไปฉลองส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่กันแล้วนะครับ ผู้ที่เป็นลูกจ้างทั้งหลายก็คงตั้งตารอให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ  
       พอดีช่วงนี้พอมีเวลาว่าง ก็จะมาแนะนำวิธี ออกแบบ เขียนแบบเรือ เอาแบบย่อๆแต่ยาวๆก็แล้วกันนะครับ อาจจะมี ภาษาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ผมก็จะพยายามอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นก็แล้วกัน เผลอ อ่านจบแล้วทำการฝึกฝนตาม ก็สามารถนำไป ออกแบบและเขียนแบบเรือจำลองเลยก็ได้
       มาเริ่มกันเลยครับ ในเบื้องต้นมันก็ต้องมีตัวอย่างกันก่อน งั้นดูรูปด้านล่างกันเลยครับ

            แบบและรูปภาพจาก http://navisconsults.com/


             รูปด้านบนคือการทดลองเรือบริเวณ เกาะภูเก็ต
         รูปร่างหน้าตาไม่สวยเท่าไร เพราะเรือประเภทนี้ คือ เรือขนส่งวัสดุ
ถ้าเปรียบเป็นรถยนต์ก็ประมาณรถสิบล้อครับ แต่คุณค่าในการใช้งานครบถ้วนตามที่เจ้าของเรือต้องการ มีคนประจำเรือ 2 คน มีห้องอาบน้ำหนึ่งห้อง ห้องส้วมหนึ่งห้อง ใน"เก๋ง" หรือ ห้องบังคับเรือ นอนได้หนึ่งคน มีถังน้ำจืดอยู่บนหลังคา ประมาณ 200 ลิตร ไว้ใช้ในห้องน้ำและส้วม ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้วครับ ผ่านมา 20 กว่าปี รูปถ่ายก็หายไปหมดแล้ว สมัยนั้น มือถือขนาดเท่าแขน โทรออก รับสายได้อย่างเดียว เรือลำนี้ตอนที่ต่อเรือสนุกมากครับ คิดถึงแล้วก็อดขำไม่ได้ ไว้ตอนท้ายๆจะมาเล่าให้ฟัง
        เรือในแบบ สร้างมาแล้วประมาณ 23 ปี เจ้าของเรือนำไปใช้งาน บริเวณ จังหวัด กระบี่ เกาะพีพี เกาะลันตา ฯ ประมาณนั้นครับ
        ความต้องการของผู้ที่ต้องการเรือลำนี้ ก็คือ เป็นเรือเหล็ก บรรทุกน้ำ หรือ น้ำมันดีเซลได้ เป็นน้ำหนัก 10 ตัน มีระวางเพื่อบรรทุกวัสดุก่อสร้าง หรือ รถปิ๊คอัป 1คัน และ สามารถแล่นเข้าไปเกยหาดทรายได้ ที่สำคัญ ต้องมีทางขึ้น-ลง สำหรับรถปิ๊คอัปด้วย........นั่นคือที่มาขอวรูปร่าง และขนาดของเรือลำนี้ อ้อ อีกเรื่องหนึ่งคือ มีความเร็วไม่ต่ำกว่า 10 Knots หรือประมาณ 18.52 Km. 
      แต่ช้าก่อนครับ มันไม่ได้เร็วขนาดนั้น เริ่มเลยก็แล้วกัน เรื่องแรกที่จะต้องคิดคือ น้ำ หรือ น้ำมันดีเซล น้ำหนัก 10 ตัน มันใช้พื้นที่เก็บขนาดไหน คิดเล่นๆ น้ำ 1 ลิตร หนัก 1 กิโลกรัม, 1000 ลิตร ก็หนัก 1 ตัน อันนี้เรื่องจริงครับใครไม่เชื่อก็ตวงน้ำจืดนะครับ ลองไปชั่งดู แต่ถ้าเป็นน้ำทะเล จะหนักกว่าน้ำจืดนิดนึง เพราะ น้ำทะเลมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำจืดครับ รายละเอียดเรื่องนี้หาดูได้ใน Google นะครับ
      ดังนั้น พื้นที่เก็บน้ำ 1 ตัน ก็จะมีปริมาตรเท่ากับปริมาตรของน้ำ 1000 ลิตร แล้วมันมีขนาดเท่าไร เป็นกล่อง หรือเป็นถังสูงกี่เมตร กว้างกี่เมตร? ก็คืออย่างนี้ครับ ปริมาตร 1 ลิตร  เท่ากับ 0.001 ลูกบาศก์เมตร น้ำ 1000 ลิตรนั่นก็คือกล่องสี่เหลี่ยม ขนาด 0.001x1000= 1 ลูกบาศก์เมตรมีขนาด ความสูง 1เมตร ยาว 1 เมตร กว้าง 1 เมตร ถ้าแข็งแรงพอ ก็จะใส่น้ำได้ 1000 ลิตร ซึ่งมีน้ำหนัก 1ตัน.....เฮ้อ งงไหมครับ ถ้างง ก็ย้อนกลับไปอ่านอีกรอบ หรือไม่ก็เข้า Google เขาจะมีตารางแปลงหน่วยให้ดูครับ อาจจะงงน้อยกว่านี่ 555555 ผมก็งง แถมผิดอีกต่างหาก แก้แล้วครับlaughing
      ทีนี้เราก็ได้ขนาดที่เก็บน้ำ  ที่มีน้ำหนัก 1 ตันแล้ว ในความต้องการเรือบรรทุกน้ำได้น้ำหนัก 10 ตัน เราก็เอากล่องขนาดสี่เหลี่ยม กว้าง ยาว สูง เท่ากับ 1 เมตร มาต่อกันก็จะได้กล่องที่บรรจุน้ำได้ 10 ตัน ตามความต้องการพอดี ความยาวของกล่องที่ต่อกันแล้วก็จะได้ ยาว 10 เมตร กว้าง 1 เมตร ถ้าต่อตามยามแนวยาว หรือ 5 เมตร ถ้าต่อกันสองแถว แถวละ 5 เมตรแล้วนำมาต่อกันด้านข้าง ก็จะได้ ความยาว 5 เมตร กว้าง 2 เมตร ประมาณนั้นครับ
      เราได้ขนาดสำหรับใส่ น้ำหรือ น้ำมันมันแล้ว ทีนี้ ก็มาดูพื้นที่สำหรับบรรทุกรถ และว้สดุก่อสร้างกันมั่ง เอาที่รถก่อน ในที่นี้ คือรถปิ๊คอัป ขนาดก็ต้องกว้างกว่า 2 เมตร ยาวมากกว่า 4 เมตร ส่วนวัสดุก่อสร้างก็มีขนาดต่างๆกันไป แต่ที่ยาวที่สุดคือ เหล็กรูปพรรณ เหล็กพวกนี้จะยาว ตั้งแต่ 4 เมตร ถึง 16 เมตร(แต่พับได้เช่น เหล็กเส้น ที่ใช้ ทำเสา หรือ คานคอนกรีต) น้ำหนักรวม รถ ด้วยก็ไม่ต่ำกว่า 4 ตัน โดยประมาณ ปูนซีเมน 1ถุง ทั่วไปหนัก 50 กิโลกรัม 20 ถุง ก็ 1 ตัน ถ้าไม่มีรถ ก็ใส่ปูซีเมนได้ 80 ถุง.....หรือมากกว่า ครับ


       รูปด้านบนคือ กล่องขนาด กว้าง 1 เมตร ,ยาว 1 เมตร ,สูง 1 เมตร มาต่อกัน ก็จะได้ กล่อง กว้าง 2 เมตร ,ยาว 5 เมตร ,สูง 1 เมตรครับ , มีที่ว่างภายในกล่อง จุนน้ำได้ปริมาตร 10000 ลิตร หรือน้ำหนัก 10 ตัน
       มันก็ยากเหมือนกันแฮะ ยากในที่นี้คือ การที่พยายามจะอธิบายเรื่องเหล่านี้แบบง่ายๆ มันยากครับ ถ้าคนที่มาอ่าน ไม่มีพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์เบื้องต้น คือ บวก ลบ คูณ หาร และเรขาคณิต ก็พยายามกันหน่อนนะครับ ไม่มีสูตรคำนวณซับซ้อนเลย จะพยายามให้มีแค่นี้แหละครับ
       มาถึงตรงนี้ เราก็จะได้ ถังไว้เก็บน้ำหรือ น้ำมัน บวก พื้นที่จอดรถและบรรทุกวัสดุก่อสร้างแล้ว แต่มันก็เป็นเพียงกล่องสี่เหลี่ยม ยาวๆเท่านั้นเอง ความกว้างก็ไม่พอที่จะจอดรถปิ๊คอัปซะด้วย เอาไงดี 
       ในการออกแบบอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมากอีกเรื่องก็คือ ขนาดและน้ำหนักของ วัสดุที่จะนำมาใช้ในการทำ ก่อสร้าง หรือในกรณีนี้คือ ต่อสร้างเรือ นอกจากกฎระเบียบของทางราชการที่จะมากำหนดขนาดของเรือแล้ว ยังมีเรื่องของขนาดของวัสดุที่จะนำมาใช้ต่อเรือด้วย ถ้าออกแบบไม่ดีพอ จะทำให้เหลือเศษของวัสดุเป็นจำนวนมาก และเพิ่มงานมากขึ้นไปอีก นั่นหมายถึงเงินจำนวนมากเช่นกัน แต่ทำได้ไหม ทำได้ครับ ถ้า "รวย" ก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ เอาแค่ไม่ผืดกฎระเบียบก็พอ
      ทีนี้มาดูกันว่าขนาดของวัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ในการต่อเรือ เป็นยังไงกันมั่ง
    เริ่มจากตัวเรือ ส่วนมาก เรือที่ต่อด้วยเหล็ก จะใช้เหล็กแผ่นอยู่สองขนาด ถ้าเรือไม่ใหญ่หรือยาวมาก ก็จะใช้แผ่นเหล็ก ขนาด กว้าง 5' x ยาว 20' ความหนาแล้วแต่แบบจะกำหนดมา แต่ถ้าเรือยาวมากๆ ก็จะใช้เหล็กแผ่นขนาด กว้าง 5' x ยาว 40' ความหนาก็เช่นกัน กว้างxยาว มีหน่วยเป็นฟุตนะครับ ส่วนความหนา มีหน่วยเป็น มิลลิเมตร !!!!!!! ?????? เอ่อ อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าทำไมหน่วยวัดมันปนกันได้อย่างนี้ รอผู้รู้มาตอบละกันครับ 
        โครงสร้างของตัวเรือ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเหล็ก รูปพรรณ เช่น เหล็ก ฉาก 100x100x9x6000 mm. นั่นคือ เหล็ฉากขนาด ความกว้างด้านละ 100 มิลลิเมตรยาว 6 เมตร ตั้งฉากกันตามแนวยาว หรือฯลฯ แล้วแต่การออกแบบครับ เรื่องวัสดุ เอาแค่นี้ก่อนนะครับ


          จากรูปด้านบน เป็นตัวอย่างเหล็กรูปพรรณที่ใช้ต่อเรือในบ้านเรา ส่วนใหญ่ครับ (ลายมือห่วยมากๆ ต้องขออภัยครับ embarassed)         
         พอเรารู้ว่าจะใช้แผ่นเหล็กขนาดไหนมาต่อเรือ เราก็ต้องออกแแบบให้มีรอยต่อของแผ่นเหล็กให้น้อยที่สุด และต้องได้ขนาดของเรือตามแบบด้วย นั่นจะเป็นการลดงานเชื่อมเหล็ก และใช้เวลาต่อเรือน้อยลงนั่นเอง โดยรวมก็คือ ลดค่าใช้จ่ายโดยได้ผลสูงสุดนั่นเองครับ 
       ยาวจริงๆ ยังไม่ไปถึงไหนเลย ขอติดไว้ก่อนนะครับ
 

      มาว่ากันต่อครับ หลังจากที่เราทำความรู้จักรูปร่างหน้าตาและขนาดของเหล็กที่จะนำมาต่อเรือแล้ว ก็มาดูกันต่อไปว่าที่เราคิดค้างไว้จะไปต่อได้ยังไง

      จากรูปด้ารบน เราก็ไปหาขนาดรถปิ๊คอัป แล้วนำมาวางลงบนกล่อง ที่เราจะนำไปใส่ ของเหลว(น้ำ หรือ น้ำมัน) ที่เราคิดไว้ นั่นคือมีรูปร่างเป็นกล่องสี่เหลี่ยม ขนาด กว้าง 2 เมตร ,ยาว 5 เมตร ,สูง 1เมตร ในรูปด้านข้างมันมีความยาวพอที่รถปิ๊คอัป จะจอดได้ แต่ พอมองด้านบน ความกว้างของรถปิ๊คอัป มันกว้างกว่ากล่องสี่เหลี่ยมของเรา? ขนาดรถกระบะหรือรถปิ๊คอัปบ้านเรามีขนาดประมาณ กว้าง 1.75 เมตร ,ยาว 3.50 เมตร ประมาณนั้นครับจะต่างจากนี้ก็คงไม่มากครับ แต่เราจะให้เรือกว้างเท่าไรดี? (ในรูปข้างบนดูเหมือนจะวาดรูปรถกว้างไปหน่อยครับ)ในกรณีนี้ก็ต้องย้อนกลับมาดู สองเรื่อง คือ 
        1 ขนาดของวัสดุที่ใช้ต่อเรือดังที่ได้กล่าวมาแล้ว มันมามีผลตรงนี้ครับ
        2 พื้นที่ใช้สอยในระวางหรือส่วนที่ใช้บรรทุกของและของเหลว
     ทีนี้ก็มาถึงเรื่องยากแล้วครับ จากความต้องการของเจ้าของเรือ หนึ่งในนั้นคือ การนำเรือแล่นเข้าไปเกยหาดทราย !!!! เพื่อความสดวกในการนำรถและวัสดุก่อสร้างขึ้นจากเรือ ไปสู่แผ่นดิน นั้นจึงทำให้เรือลำนี้จำเป็นต้องเป็นเรือแบบ "ท้องแบน" และกินน้ำลึกไม่มาก ไม่งั้นจะเข้าไปเกยหาดทรายไม่ได้ ที่ว่ายากก็คือ ต้องใช้การคำนวณเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วครับ แต่ในที่นี้ ผมจะพยายามให้มันเข้าใจง่ายที่สุดก็แล้วกันครับ เพราะแค่นี้ก็น่าเบื่อจะแย่ละ 55555
         บอกกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วนะครับว่า เรื่องนี้คงจะเอาแบบย่อๆแต่คงจะยาวนะครับ อดทนอ่านกันหน่อย 
        มาต่อกัน กล่องที่เราคิดไว้ ใส่ของเหลวได้ บรรทุกรถและวัสดุก่อสร้างได้ แต่มันยังลอยน้ำไม่ได้นะครับ ใช่ครับเหมือนกับที่หลายท่านสงสัย มีแค่นี้มันจะลอยน้ำได้ไง? ว่าแล้วเราก็ขยายด้านข้างออกไปอีกข้างละ 50 ซ.ม. รวมความกว้างได้ 3 เมตร ละ ความยาวด้านหน้าก็ยืดออกไปอีกเท่าไรดีครับ ขอสัก 4 เมตร ละกัน ก็กลายเป็นยาว 9 เมตร เพื่อ.....เดี๋ยวค่อยว่ากันครับ เรือที่แล่นได้ก็ต้องมีเครื่องยนต์ ใบจักรและ ฯลฯ งั้นด้านท้ายขอยืดไปอีก 6 เมตร ละกัน เพื่อทำเป็นห้องเครื่อง ต่างจากในรูปเล็กน้อย ที่นี้ กล่องของเราก็เปลี่ยนขนาดไปแล้วครับ กลายเป็น ยาว 15 เมตรกว้าง 3 เมตร ,สูง  1เมตร ถามว่า เมื่อเอากล่องนี้ไปลอยในน้ำ จะจมน้ำกี่ เซ็นติเมตร? กล่องใบนี้เป็นกล่องในอุดมคตินะครับแต่ละด้านไม่มีความหนา และไม่มีความหนาของโครงสร้างด้านใน ครับ
   
   จากรูปด้านบนก็จะได้กล่องสี่เหลี่ยม กว้าง 3 เมตร ,ยาว 15 เมตร ,สูง 1 เมตร ครับ อ้อ ลืมบอกไป ตัวเลขในรูป มีหน่วยเป็น มิลลิเมตร นะครับ
กล่องใบนี้อย่างที่บอกไปแล้ว เป็นกล่องในอุดมคติ มีแต่เส้นรอบรูป ไม่มีน้ำหนักด้วย ดังนั้นถ้าในกล่องไม่มีอะไรอยู่เลย เมื่อนำไปลอยน้ำ มันก็ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่จมแม้แต่นิดเดียว......แต่ถ้าเกิดมันจมน้ำลงไปสักสิบเซ็นติเมตร มันจะมีน้ำหนักเท่าไร? ทีนี้แหละครับ ที่เราต้องใช้การคำนวณมาใช้แล้ว แต่ก็ไม่ซับซ้อนมากนัก  นั่นก็คือ เราต้องหาปริมาตรของกล่องในส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ ว่ามีกี่ ลูกบาศก์เมตร เพราะ 1 ลูกบาศก์เมตร เท่ากับ 1 ตัน หรือ 1000 กิโลกรัม ในกรณีนี้ กล่องของเราจมน้ำลงไป 10 เซ็นติเมตร หรือ 0.1 เมตรกล่องของเรากว้าง 3 เมตร ,ยาว 15 เมตร ดังนั้น ปริมาตรที่จมน้ำก็จะเท่ากับ 0.1x3x15 เมตร = 45x0.1 = 4.5 ลูกบาสก์เมตร ก็คือ กล่องของเราที่จมน้ำไป 10 เซ็นติเมตร มีน้ำหนักเท่ากับ 4.5 ตัน หรือ 4500 กิโลกรัมนั่นเอง จากการคำนวณ เราก็จะเริ่มมองเห็นลางๆละ ว่าเรือลำนี้จะกินน้ำลึก หรือ เรือลำนี้จะจมลงไปในน้ำลึกเท่าไร แต่ในแบบข้างบนนู้นนนนน กำหนดให้เรือกินน้ำลึก 0.80 เมตร กว้าง 3.50 เมตร ,ยาว 16 เมตร ลองมาคิดดูเล่นๆนะครับว่าจะบรรทุกน้ำหนักได้เท่าไร ก็เอา 0.8x3.5x16 = 44.5 ตัน แต่ในทางปฏิบัติ ก็คงไม่บรรทุกมากขนาดนั้น เพราะน้ำหนักขนาดนี้ ได้รวมเอา น้ำหนักของเรือ เครื่องจักร น้ำมันเชื้อเพลิง และ ฯลฯ ที่อยู่บนเรือทั้งหมดมารวมด้วย ดังนั้น ของเหลวและวัสดุต่างๆ ที่เป็น "สินค้า" น้ำหนักรวมก็คงไม่น่าจะเกิน 20 ตัน ครับ นี่คิดแบบรวมๆนะครับ ไม่ได้จับชั่งกิโล แต่ถ้าจะคำนวณให้แม่นยำกว่านี้ได้ไหม ขนาดที่รู้ว่า ท้ายเรือกินน้ำลึกเท่าไร หัวเรือกินน้ำลึกเท่าไร ขอตอบว่าได้ครับ แต่....มันจะไม่ใช่วิธีบวก ลบ คูณ หาร ทั่วไปนะครับ  มันจะซับซ้อนมาก ซึ่งผมเองก็ต้องสารภาพตามตรงว่า ทำไม่ได้ครับ จะคำนวณได้ ก็โดยประมาณเท่านั้น แต่ก็ไม่ห่างกันเท่าไรนัก ถ้าท่านใดเป็น วิศวกร ก็จะทำเรื่องพวกนี้ได้แน่นอน แต่อาจจะต้องหาความรู้ เกี่ยวกับสูตรทางคณิตศสาสตร์ เพิ่มเติมนะครับ
          มาถึงตรงนี้ก็ต้องย้ำอีกทีนะครับ บทความตอนนี้ ไม่ได้สอนเรื่อง การออกแบบเรือจริงนะครับ แต่เป็นการนำเอาประสประการณ์ในการทำงานของผม มาเล่าสู่กันฟังครับ ผิดถูกประการใด ก็แย้งมาได้นะครับ
เพราะข้อความในวรรคข้างบนนั้น เป็นแค่แนวคิดนะครับ ซึ่งไม่ได้จะมีวิธีนี้วิธีเดียว บางท่านอาจจะมีวิธีที่แตกต่างไปจากนี้แต่ได้ผลตามที่ต้องการ ก็ไม่แปลกและไม่ผิดด้วยครับ ดูมันขัดกันไงชอบกล 55555
          เรามาต่อกันครับ เมื่อเราคิด ค่าต่างๆได้แล้วเราก็จะพัฒนา "กล่อง"ของเรากันต่อนะครับ 


        555 เริ่มดูเป็นแพขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ใช่เรือ จากรูปข้างบนนี้ เริ่มจะเห็นตัวอักษรแปลกๆบ้างแล้วครับ มาดูกัน
        ในภาพนี้  ตรงที่เขียนว่า "รูปด้านข้าง หรือ PROFILE" คือรูปที่แสดงรายละเอียดด้านข้างของเรือ และจะมีเส้นตรงยาวอยู่ล่างสุด กำกับด้วยตัวอักษร B.L. ที่ปลายทั้งสองข้าง มันคือเส้น BASE LINE ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ "เส้นที่ฐาน" มันแหม่งๆไงชอบกล นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่า ทำไมในแบบเรือต้องใช้ภาษาอังกฤษ เพราะวิชานี้ไปเอาของเขามาครับ เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆอธิบายกันไปทีละคำที่มีนะครับ 
         ต่อๆๆๆ รูปด้านข้างนี้ มีรายละเอียดคือ มีความสูง 1 เมตร ,ยาว 16 เมตร มีรถอยู่ข้างบน ใต้รถ มีเส้นตัดกันเป็นตัว x นั่นคือ ขอบเขตของการบรรทุกของเหลวครับ มีความยาว 5 เมตร ,สูง 1 เมตร หรือก็คือขอบเขตขังถังบรรจุของเหลวนั่นเอง ต่อจากถังนี้ไปทางขวา ในที่นี้คือ "หัวเรือ" นะครับ 6 เมตร เดี๋ยวภายในจะบรรจุอะไรได้บ้างมาดูกัน ที่ปลายสุดคือหัวเรือ แน่นอนว่าต้องเป็นที่ว่าง ถอยมา 4 เมตร ก็จะมีผนังกั้นภายใน 1 ผนัง(ในเรือใช้คำนี้ครับ BHD=BULKHEAD ไม่ใช่ WALL ครับ)  ถอยมาอีก 1 เมตร ก็เป็นผนังกั้นอีกหนึ่งครับ จากผนังกั้นนี้ ถอยไปอีก 5 เมตร เราใช้เป็นถังเก็บของเหลว 10 ตันครับ ก็มีอีกหนึ่งผนังกั้น จากตรงนี้ไปท้ายเรือ 6 เมตร ก็จะเป็นเครื่องจักรทั้งหลายครับ 
        รูปกลางในตอนนี้คือ ดาดฟ้าหลัก หรือ MAIN DECK เป็นรูปที่แสดงรายละเอียดด้านบน หรือ แปลน ชั้นดาดฟ้าหลัก กว้าง 3 เมตร ,ยาว 16 เมตร แต่ดูๆไปแล้ว กล่องของเราแคบไปหน่อยเมื่อเที่ยบกับความยาว เดี๋ยวมันจะพลิกคว่ำเอาง่ายๆ งั้นขอขยายความกว้างเพิ่มอีกข้างละ 25 เซ็นติเมตร ละกัน รวมความกว้างเป็น 3.50 เมตร 55555 มั่วดีไหมครับ
ก็จะได้ออกมาเป็นภาพด้านล่างครับ แหมเกือบลืม มันมีเส้นตรงเพิ่มมาอีกเส้นหนึ่งครับ ยาวผ่ากลางลำตั้งแต่ท้ายเรือ จนเลยหัวเรือออกไป และกำกับด้วยตัวอักษร C.L. ที่ปลายเส้นทั้งสองข้าง มันคือเส้น CENTER LINE มันคือเส้นแบ่งกลางลำเรือที่จะแสดงในทุกแบบของ แปลนเรือ หรือแบบแสดงรายละเอียดด้านบน ทุกชั้น ของเรือครับ ถ้าใช้ตัวย่อเป็นภาษาไทยคงสนุกดีพิลึก
        รูปล่างสุดแสดงรายละเอียด ของท้องเรือ หรือ BOTTOM PLAN
ก็ดูเป็นสี่เหลี่ยมธรรมดาๆนี่เอง.......

               ปรับไปปรับมา ก็ได้ออกมาดังภาพด้านบนนี่แหละครับ แต่ดูยังไงมันก็ยังไม่เป็นเรืออยู่นั่นเอง ใช่ครับ เราได้แต่พื้นที่ใช้สอยและขนาดโดยรวมแล้ว ว่าไม่เกินไปกว่านี้แล้ว ทีนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า พื้นที่ไหนใช้ทำอะไร แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือ มีตัวย่อ ภาษาอังกฤษมากขึ้น มาว่ากันทีละตัวครับ
     เริ่มจาก
              F.O.C.T. ย่อมาจาก FUEL OIL CARGO TANK เป็นไทยก็คือ ถังบรรทุกหรือใส่สินค้าที่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงครับ
              F.W.T. ย่อมาจาก FRESH WATER TANK แปลว่า ถังน้ำจืดครับ
              P. ที่อยู่ในวงเล็บ คือ PORT แปลไทยตรงๆก็ ท่าเรือ ครับ แต่ถ้าในแบบเรือมันไม่ใช่ ประวัติมันยาวมาก เอาเป็นว่า ความหมายที่เข้าใจได้สั้นๆคือ เมื่อยืนอยู่บนเรือหันหน้าไปทางหัวเรือ มันคือ ด้านซ้ายของเรือครับ
              S. หรือ ST. ในวงเล็บ คือ STARBOARD คำนี้แปลเป็นไทยก็มึนแน่นอน ประวัติมันก็ยาวเหมือกันครับ เอาแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ หันหน้าไปทางหัวเรือ มันคือด้านขวาของเรือครับ
              ทั้ง P. และ ST. เมื่ออยู่บนเรือ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน เมื่อได้ยิน สองคำนี้ ก็เป็นอันรู้กันว่า อยู่ด้านไหนของเรือครับ นี่สั้นที่สุดละครับ 5555 
              เส้นประ หมายถึงโครงสร้าง ที่อยู่ "ใต้พื้น หรือ หลังผนัง" ครับ ในแบบเรือจะตัองมีตัวอักษรกำกับ ทุกเส้น เพื่อจะบอกว่า มันคือโครงสร้างประเภทไหน
              เส้นที่มี ขีด ยาว-สั้น-ยาว ไขว้กันเป็นตัว X เป็นเส้นกำหนดขอบเขตของ "ถัง หรือ ห้องว่าง" ที่ปิดทึป กันน้ำ หรือ "ช่องว่าง" ต่างๆที่ต้องตัดออกไป เช่น ช่องทางลงบันได ช่องประตู หน้าต่าง ฯ ครับ
              ในภาพด้านบนก็น่าจะครบแล้ว ที่นี้ เราก็จะมา "ปั้นและเหลา"กล่องของเรา ให้เป็นเรือกันครับ ซึ่งขั้นตอนนี้นี่แหละครับ ที่จะต้องใช้ "จินตนาการ" บวกกับกฏระเบียบของทาง กรมเจ้าท่ามาทำ จะสวยไม่สวย ก็แล้วแต่ จินตนาการของแต่ละคนไป..........
          55555 ก็ยังไม่เป็นเรืออยู่ดี ยากครับ ยากจริงๆ ผมไม่ได้เขียนเสร็จแล้วเอามาลงนะครับ ไม่มีเวลาขนาดนั้น คิดไป พิมพ์ไป วันนี้ก็นั่งเกินครึ่งวันแล้ว ต้องขอตัวครับ จะพยายามมาต่อให้เร็วที่สุด 
          ขอขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านจนถึงตอนนี้นะครับ ขอบคุณครับ
           วันนี้วันที่ 21-12-2562 หายไปหลายวัน กลับมาต่อกันครับ

           ในภาพข้างบนนั้นคือ เครื่องมือ "เหลา และ ปั้น" กล่องของเราให้เป็นเรือครับ ที่เพิ่มมาคือ CURVER เอาไว้เขียนเส้นโค้งต่างๆของเรือครับ

        ย้อนกลับมาดูแบบของจริงกันอีกครั้งครับ ตรงที่เขียนว่า DIMENSION ถัดลงมาคือค่าของขนาดในด้านต่าง 
        LENGTH O.A คือ (O.A. คือ OVER ALL) คือความยาวตลอดลำ วัดจาก ท้ายเรือสุด ไปถึงหัวเรือสุด(แต่ลำนี้ไม่รวม ทางขึ้นลงซึ่งเปิด-ปิด ได้)
        BREADTH คือความกว้างวัดที่กลางลำเรือ
        DEPTH คือ ควาลึกของตัวเรือ วัดที่กลางลำเรือจาก MAIN DECK ถึง ท้องเรือที่ต่ำที่สุด
        DRAFT LOADED คือเรือลำนี้กินน้ำลึกเมื่อบรรทุกเต็มที่
     จากแบบจะเห็นว่า ความลึกของตัวเรือ ทำไม่มันตั้ง 1.5 เมตร แล้วกล่องของเรามัน 1 เมตรเอง? ประเด็นก็คือ กล่องที่เราคิดได้นั้น เป็นกล่องในอุดมคติ มีคุณสมบัติตามต้องการ แต่พอมาทำเป็นเรือแล้ว ก็ต้องมาปรับกันอีกครั้ง เพื่อ.....
      อย่างแรกเลยคือ ความปลอดภัย กล่องของเราสูง 1 เมตร ภายในบรรทุกของเหลวหนัก 10 ตัน บนกล่องบรรทุกน้ำหนัก 4 ตัน เรายืดด้านหัวเรือไป 5 เมตร ยืดท้ายเรือไปอีก 6 เมตร ขยายความกว้างไปอีกข้างละ 0.75 เมตรกลายเป็นกว้าง 3.5 เมตร จากขนาดดังกล่าว เมื่อเอาไปลอยน้ำพร้อมน้ำหนักบรรทุกเต็มที่ กล่องของเราจะกินน้ำลึกไป ประมาณ 0.3 เมตร เหลือส่วนที่พ้นน้ำ หรือ FREE BOARD 0.7 เมตร พอจะมองเห็นอะไรไหมครับ 

      จากภาพด้านบน รูปซ้ายมือคือรูปด้านหน้า(FRONT VIEW)ของกล่อง รูปขวามือคือรูปด้านข้าง(PROFILE) จะเห็นว่าเมื่อมองจากด้านหน้า กล่องของเรากว้างขึ้น แต่ความสูงเท่าเดิม ผลที่ได้คือ สามารถบรรทุกของเหลวได้มากขึ้น ลองคิดดูเล่นๆนะครับ กว้าง 3.5 เมตร x ยาว 5 เมตร x สูง 1 เมตร เท่ากับ 17.5 ลูกบาศก์เมตร เท่ากับน้ำหนัก 17.5 ตัน หรือ 17500 กิโลกรัม ซึ่งเกินความต้องไปถึง 7.5 ตัน ***ผิดจนได้ 0 หายไปตัวนึง****ซึ่งเกินความต้องการไปมาก และจะส่งผลไปถึงโครงสร้างของตัวเรือโดยรวม ที่ต้องเพิ่มความแข็งแรงมากขึ้น และนั่นหมายถึง เงินที่เพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง และที่สำคัญ เมื่อเราใส่ของเหลวไม่เต็มตามรูป  และด้านบนยังบรรทุกของหนักอีกตั้ง 4 ตันหรือมากกว่านั้น กล่องของเราก็จะเกิดอาการ หนักด้านบน หรือ TOP-HEAVY
......เอางี้ เปรียบเหมือน เคยเห็นตุ๊กตาล้มลุก ที่เด็กๆชอบเล่นไหมครับ

       ตราบใดที่น้ำหนักในตัวตุ๊กตาล้มลุกยังอยู่ที่เดิม คือจุดที่อยู่ล่างสุดของตุ๊กตา ไม่ว่าจะเอนไปทางไหน ด้วยการดัน ดึง เตะ ถีบ ฯ มันก็จะเอนกลับในทิศทางเดิมจนตั้งตรงได้เหมือนเดิม แต่ถ้าเลื่อนน้ำหนักจาดจุดที่ต่ำสุดขึ้นมา แม้เพียงนิดเดียว ตุ๊กตาตัวนี้ก็จะตั้งตรงไม่ได้อีกเลย มันจะค่อยๆเอนไปทางใดทางหนึ่ง เมื่อความสูงของน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ น้ำหนักขึ้นไปสูงพอ มันก็จะล้มลงมานอนขนานไปกับพื้น....ครับ กล่องของเราก็เช่นกัน ถ้ามีน้ำหนักบรรทุกอยู่ เอาลงไปลอยในน้ำนิ่งๆ มันก็จะลอยอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเอาไปลอยในทะเลนี่ ไอ่จม มันไม่จมหรอกครับ แต่มันจะพลิกเทกระจาดลงไปหมด ในเวลาไม่นานแน่นอน แล้วก็ลอยตะแคงข้างอยู่อย่างนั้นนั่นเอง เพราะน้ำหนักทั้งหลายมันลงไปรวมอยู่ข้างๆหมดแล้ว แล้วอีกสักพัก มันก็จะพลิกไปมาอีกตามแรงที่มากระทำกับมัน
.......ตีสองกว่าแล้ว ขอตัวครับ พรุ่งนี้ผมว่าง แล้วมาต่อกัน ฝันดีครับ
     บ่ายวันใหม่แล้วครับ แต่ก็ยังเป็นวันที่ 21-12-2562 มาว่ากันต่อ จากที่ผมอธิบายไปนั้น ก็ใช้ความรู้สึกล้วนๆ ซึ่งทุกคนก็มีได้ครับ ถ้าทำงานในด้านต่างๆมามากพอ ไม่ว่าจะงานอะไร...เช่น งานเอกสาร เวลาคุณต้องยกเอกสารจำนวนมากด้วยมือ คุณก็คงไม่เอาชิ้นที่ใหญ่และหนักกว่าไว้บนสุดใช่ไหมครับ หรือจะใส่รถเข็นก็อีกนั่นแหละ ต้องเอาของที่หนักๆ ไว้ข้างล่างสุดเสมอ ฯ ก็ประมาณนั้นครับ
        แล้วเราจะทำยังไงดี ก็ต้องทำให้น้ำหนักทุกอย่างที่ใส่ไปบนกล่องลงมาอยู่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในกรณีนี้ เราก็จะลดความสูงของกล่องลงมา 0.2 เมตร.....ก็จะเป็นความสูงใหม่ คือ 0.8 เมตร ก็จะมีผลให้ น้ำหนักที่อยู่ด้านบน ลดต่ำลงมาด้วยเช่นกัน และยังสามารถบรรทุกของเหลวได้ในปริมาณเท่าที่ต้องการเหมือนเดิม 
       กลับไปดูรูปด้านข้าง(PROFILE) ส่วนที่เรายืดไปทางหัว 5เมตร เพื่ออะไร?? จะยืดไปทำไมให้เปลือง กล่องของเราบรรทุกได้ตามที่ต้องการแล้วนี่ ยืดไปด้านท้ายพอเข้าใจว่าจะทำห้องเครื่องยนต์ แค่นี้ก็น่าจะพอ แต่ว่า มันไม่พอครับ ถ้าไม่ยืดออกมา ผลที่จะเกิดกับกล่องของเราก็คือ เมื่อบรรทุกเต็มที่ น้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่ที่กล่องด้านหัวที่ยาว 5 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 0.8 เมตรเป็นน้ำหนักถึง 14 ตัน หรือมากกว่า แต่ที่ด้านท้าย ที่ยืดออกไป 6 เมตร มีแค่เครื่องยนต์ น้ำหนักอย่างมาก ไม่เกิน 300 กิโลกรัม ถ้าสองเครื่องก็ 600 กิโลกรัม บวก น้ำมันเชื้อเพลิงอีก ไม่เกิน 2 ตัน บวก ฯ ไม่เกิน 1 ตัน รวมทั้งหมดประมาณให้ตัวเลขเต็มๆเลยคือ 4 ตัน ท้ายหนัก 4 ตัน หัวหนัก 14 ตัน จะเกิดอะไรขึ้นครับ ด้านหัวก็จะจมน้ำ ด้านท้ายก็จะโผล่พ้นน้ำ ใบจักร ก็ลอยอยู่กลางอากาศ ก็หมดสภาพการเป็นเรือไปละ ดังนั้น ที่ยืดด้านหัวออกมาไป 5 เมตร ก็ทำให้เกิดแรงมาพยุงด้านหัวไม่ให้จมลงไปนั่นเอง แต่จำเป็นไหมที่ต้องยืดไป 5 เมตร ก็อยู่ที่การคำนวณครับ ในที่นี้ คร่าวๆก็คือ มีข้างหลังยาวออกไป 6 เมตร แต่มีน้ำหนักอยู่ข้างใน 4 ตัน กับมีข้างหน้ายาวออกไป 5 เมตร ความกว้างเท่าเดิม คือ 3.5 เมตร ก็จะกลายเป็น ถังสองใบหัวท้าย หิ้ว ถังใบกลาง ที่มีน้ำหนักมากเอาไว้....ครับ
แต่ท้ายจะจมมากกว่าหัวนิดนึง เพื่อให้ใบจักร ทำงานได้เต็มที่ innocentinnocentinnocent
      ก็ค่อนข้างน่าเบื่อนะครับ เดี๋ยวมีตัวเลขมาคูณ เดี๋ยวมี กว้าง ยาว มี ยืด เฮ้อ ผมเองแรกๆที่เข้าวงการนี้ก็สุดเอือมเลยครับ แต่อาศัยลูก ชอบ คุ้ยมันไปหมด อะไรที่เกียวกับเรือ โดนรุ่นพี่ด่า ว่าไม่จำ ก็ไม่เป็นไร หลังๆนี่ใช้วิธี ถามแล้วจด จะได้ไม่ต้องไปถามซ้ำให้เขาด่า แล้วมานั่งเจ็บใจ 55555
     ทนๆเอาหน่อยนะครับ เดี๋ยวนี้ ข้อมูลฟรี มีให้หาได้ง่ายๆ ค้นดูมากๆ อ่านมาก ทำมาก ก็สำเร็จได้ครับ
      ผ่านมาหนึ่งวันกะหนึ่งคืนละก็ยังไม่เป็นเรืออยู่ดี อิอิ มะ มาต่อกัน จริงๆผมก็งงนะ พิมพ์ผิดๆ ถูกๆ อ่านทวนก็แล้ว ยังผิดอีกแย่จริงๆ
      ทีนี้เราจะมาปั้นกันละ เอาที่หัวเรือก่อน ในแบบจริง เรือลำนี้มีความลึกที่กลางลำ(DEPTH) คือ 1.5 เมตร แต่กล่องของเราที่ปรับความสูงแล้วคือ 0.8 เมตร แล้วอีก 0.7 เมตรจะเพิ่มเข้าไปได้ยังไง ได้สิครับ
      เดิมที กล่องของเราที่ปรับขนาดแล้วมีความกว้าง 3.5 เมตร ,ยาว 16 เมตร ,สูง 0.8 เมตร เริ่มจากท้ายกล่อง ที่เรายืดออกไป 6เมตร เพื่อทำเป็นห้องเครื่อง เอมันชักจะงงแฮะ เดี๋ยวเอาหัวเรือก่อน ตอนนี้มาบอกว่าเริ่มจากท้ายเรือ แฮะๆๆ ขอโทษคร้บสับสน สับสน  ก็ ตามๆมาละกันครับ ระยะ 6 เมตร จากท้าย เรากำหนดให้เป็นห้องเครื่อง ในกรณีนี้ ความเร็วเรือที่
10 น๊อต จากที่ผู้ออกแบบคำนวณได้ จะใช้เครื่องยนต์ที่มีกำลัง ประมาณ 320 แรงม้า (เรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่งครับ เดี๋ยวพลาด แต่ถ้าจะให้เดาก็พอไหวครับ) ในขณะนั้นผู้ออกแบบได้เสนอว่า ควรจะใช้เครื่องยนต์สองเครื่อง มาขับเกียร์อัตราทด  1:3.1 และเพลา เส้นผ่าศูนย์กลาง 3" ใบจักร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20" สองขุด ซ้าย ขวา เท่าที่จำได้ก็ประมาณนี้ครับ
เหตุผลก็คือ เรือที่มีระบบขับเคลื่อน 2 ชุดนั้น มีความอ่อนตัวในการใช้งานค่อนข้างมาก เช่น มันสามารถกลับลำได้โดยที่เรือหมุนอยู่กับที่ ใช้วิธี ชุดนึงเดินหน้า อีกชุดหนึ่งถอยหลัง หรือ เวลาเข้าเที่ยบท่า ทำได้ง่ายกว่าเรือที่มีระบบขับเคลื่อนชุดเดียว และอีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อเครื่องใดเสียหาย หรือใบจักรมีปัญหา ก็ยังสามารถแล่นต่อไปได้โดยใช้ระบบขับเคลื่อนเพียงชุดเดียว หรือ เมื่อหางเสือ หรือระบบไฮดรอลิคขับหางเสือมีปัญหา ก็ใช้การ เร่ง หรือเบาเครื่อง ซ้าย ขวา เพื่อหันเลี้ยวแทนก็ได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่มากขึ้น พอสมควร แต่ในตอนนั้น ผู้ว่าจ้างเห็นด้วยครับ
 อ้ออีกอย่างที่สำคัญมากเหมือนกันคือ ขนาดของเครื่องยนต์ 100-120 แรงม้า มีขนาดที่เล็กกว่า 320 แรงมาอยู่มากเหมือนกัน ทำให้เรือไม่สูงมากด้วยครับ
       กลับมาที่กล่องของเราต่อครับ แวะไปซะไกลเลย

         จากภาพด้านบนก็จะมีอักษรภาษาอังกฤษเพิ่มมาอีกดังนี้ครับ
                      L.W.L คือ LOAD WATER LINE ความหมายก็คือเส้นบอกระดับน้ำหรือเส้นแนวน้ำ เมื่อบรรทุกเต็มที่ ในแบบ GA ของเรือทุกลำต้องมีเส้นนี้ปรากฏในแบบด้วยครับและก็ยังจะมีในแบบรายการอื่นๆด้วยเช่นกัน
                      E/R คือ ENGINE ROOM คือห้องเครื่อง
                      TANK TOP คือ ด้านบนของถัง? ก็แปลค่อนข้างตรงตัว
แต่ ตอนนี้เมื่อเราปรับกล่องของเราเป็นเรือไปแล้ว มีข้อสังเกตุอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตั้งแต่หัวเรือไล่มาถึงหน้าห้องเครื่อง กล่องเดิมของเราทำหน้าที่เป็นถัง หรือ TANK ไปด้วยในตัว เมื่อเป็นเรือ ด้านบนกล่องเดิมของเราจึงเรียกว่า TANK TOP ครับ และลักษณะของท้องเรืออย่างนี้ เรียกอีกอย่างว่า ท้องเรือสองชั้นหรือ DOUBLE BOTTOM ทำไมถึงเป็นสองชั้นเดี๋ยวค่อยว่ากัน
         ในภาพด้านบน ระดับน้ำยังอยู่ที่ 0.3 เมตรอยู่นะครับเพราะเรือของเรายังไม่มีความหนาและน้ำหนักของวัสดุกับเครื่องจักร ฯ มาบวกเข้าไป
         อะฮ่า อะฮ่า เริ่มเป็นเรือแล้ว


         จากรูปด้านบน แสดงแบบตัดกลางลำหรือ MIDSHIP มีรายละเอียดของโครงสร้างกลางลำ......เอ รู้สึกว่าจะข้ามขั้นตอนไปหน่อย คืออย่างนี้ครับ จากรูปด้านบนก่อนรูปนี้คือ รูปด้านข้าง(PROFILE)  เราได้เขียนเส้นโค้งใต้ท้องเรือไปแล้ว เขียนได้ไง ก็ตามใจท่านเลยครับ คิดว่าโค้งยังไงตรงไหนแล้วดูดี!!!!! ไม่มีใครมาบังคับท่าน แต่มีข้อที่ควรพิจรณาอยู่บ้างก็คือ ถ้าหัวมันแหลมมากไปเมื่อมองจากด้านข้าง การที่จะเข้าไปเชื่อมในบริเวณนั้นก็ทำได้ยากหรืออาจจะทำไม่ได้เลยถ้าเป็นงานเหล็ก แต่ถ้ามันป้านเกินไป มันก็จะเข้าไปเกยหาดได้ยากขึ้นแล้วก็จะต้านน้ำมากเวลาแล่นเรือ เปลืองน้ำมัน ฯ ประมาณนั้นครับ
            ส่วนเส้นโค้งท้ายเรือ ก็เหมือนกันครับจะให้ดูดีหรือชอบอย่างไหนก็ตามใจท่านเลย ข้อควรระวังก็คือ เวลาเรือแล่นควรจะให้กระแสน้ำที่มาจากท้องเรือไหลไปท้ายเรือได้ดีเพื่อที่ใบจักรจะได้รับน้ำได้อย่างต่อเนื่อง และต้องมีที่พอให้ ใบจักรและหางเสือติดตั้งได้โดยปลอดภัย เพราะเรือเราต้องไปเกยหาดทรายหรือเกยตื้นนั่นเอง เวลาน้ำลงก็ต้องนั่งอยู่บนหาดทรายนั่นเอง ถ้ามีส่วนใดของใบจักรหรือหางเสือเรือ ยื่นพ้นท้องเรือลงมา หรือถ้าดูในแบบจริง ก็คือจะไม่มีอะไรยื่นต่ำลงมาเกินเส้น B.L. เลย แม้แต่น้อย ถ้ามี มันจะเกิดความเสียหายได้ง่ายมากและจะต้องเสียทั้งเงินและเวลาในการซ่อมแซมไม่น้อย
           ในรูป MIDSHIP  ระดับของ TANK TOP อยู่สูงกว่า B.L. 0.8 เมตร
สูงขึ้นไปอีก 0.7 เมตร เป็นระดับของ MAIN DECK  ซึ่งเป็นระดับเดียวกันตลอดลำเรือ จาก MAIN DECK ขยับเข้ามาด้านในตัวเรือ 0.25 เมตร จะเป็น "ขอบระวาง" หรือ COAMING  สูง 0.5 เมตร มาดูที่ท้องเรือมั่ง เรือลำนี้เป็นเรือท้องแบนนะครับ เราก็เหลาด้านข้างที่เป็นเหลี่ยมออกไปซะ อันนี้ก็แล้วแต่ชอบอีกเหมือนกันว่าจะตัดเฉียง หรือจะทำเป็นเส้นโค้งซึ่งทำยากกว่ามาก แต่ถ้าชอบก็ทำไปครับ ถามว่าทำไปทำไม ขอตอบว่า ทำเพื่อความคล่องตัวในการเลี้ยวของเรือครับ เปรียบเหมือนกับเราเอาท่อนไม้สี่เหลี่ยม ไปแกว่งในน้ำ แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็นท่อนไม่ที่มีมากกว่า สี่เหลี่ยม จะรู้สึกถึงความต่างของแรงต้านของน้ำได้อย่างชัดเจน ยิ่งเป็นท่อนไม้กลมๆด้วยแล้ว แรงต้านของน้ำจะหายไปมากทีเดียว เมื่อเที่ยบกับท่อนไม้ที่เป็น สี่เหลี่ยมครับ
        เหลี่ยมหรือมุมที่เกิดขึ้นนี้ก็มีชื่อเรียกนะครับ มุมที่อยู่ล่างสุดเรียกว่า LOWER CHINE หรือที่ภาษาช่างต่อเรือบ้านเราเรียกว่า "ชายล่าง" "ชาย" ในที่นี้เหมือนที่เราเรียกชายเสื้อนั่นแหละครับ ส่วนมุมที่อยู่เหนือขึ้นไป เรียกว่า UPPER CHINE หรือ "ชายบน" ครับ บางท่านอาจจะสงสัยว่า อ้าวเล่นเหลาออกตัดออกกันดื้อๆอย่างนี้เลยหรือ ไม่ต้องคำนวณอะไรเลยหรือไง ขอตอบว่าใช่ครับ เอาออกไปดื้อๆนี่แหละ เพราะว่าที่เราคำนวณค่าต่างๆไว้(ยกเว้นความแข็งแรงของตัวเรือ และการทรงตัวของเรือนะครับ ฯ) เราได้ "เกิน" ความต้องการของเราไปไม่น้อย จากการขยายความกว้างของเรือ แม้ว่าเราจะลดความสูงลงมาก็ตาม
        จะเห็นว่าขนาดต่างๆของเรือลำนี้ จะกว้างไม่เกิน 5' หรือถ้าเกินเช่น ท้องเรือก็ไม่ควรจะเกิน 10' หรือ 3 เมตร ใช้เหล็ก 5'x20' สองแผ่น แต่การนำเหล็กมาประกอบเป็นท้องเรือนั้น เขาจะเอาแผ่นแรกมาวางตรงกลางตามแนวยาวเพื่อรองรับ กระดูกงู หรือ KEEL ส่วนอีกแผ่นก็มาแบ่งครึ่ง ต่อกันตามแนวยาว ก็จะได้ความกว้าง 3 เมตร อ้าวทำไมไม่ต่อแผ่นตามแนวยาวก่อนแล้วค่อยเอากระดูกงู หรือ KEEL มาประกอบทีหลังไม่ได้หรือ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาแบ่งครึ่งแผ่นอีก ก็ขอตอบว่า ก็ทำได้ครับ แต่จะเกิดความเสี่ยงสูงมากที่รอยต่อจะแตก ก่อนที่จะเชื่อมเสร็จเสียอีก ถึงจะเชื่อมจนเสร็จ ก็ทุลักทุเลน่าดู
        ท่านที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงจะพอนึกภาพออกแล้วนะครับ ว่า เวลาออกแบบเรือ เขาคิดอะไรกันมั่ง เราได้ในส่วนที่สำคัญไปแล้ว ที่เหลือท่านก็ลองจินตนาการต่อกันเองนะครับ อาจจะออกมาดูดีกว่าที่เขาทำเอาไว้ก็ได้ ขั้นตอนนี้ก็จะไปจบลงที่แบบ GENERAL ARRANGEMENT หรือ GA นั่นเองครับ 
       กลับมาดูที่แบบจริงอีกสักครั้งกันครับ

              คราวนี้ผมจะมาอธิบายเกี่ยวกับ ตัวหนังสือ และตัวเลขที่กำกับไว้ในแบบที่ยังไม่ได้บอกกันครับ 
               ที่มุมบนด้านขวา AS-BUILT DRAWING คือแบบที่เขียนขึ้นมาหลังจากเรือสร้างเสร็จแล้วครับ ดังนั้นท่านเห็นอะไรในแบบใบนี้ ไปดูที่เรือจริงก็จะมีเรือและอุปกรณ์ตามที่ปรากฏอยู่ในแบบทุกอย่าง(ยกเว้นรถยนต์นะครับ)
               ถัดลงมาก็เป็นรูปด้านข้าง หรือ PROFILE ในแบบเรือที่เป็นสากล ท้ายเรือจะอยู่ซ้ายมือ หัวเรือจะอยู่ขวามือเสมอครับ ที่เส้น B.L. จะมีขีดแบ่งเป็นช่องๆไว้ และมีตัวเลขกำกับ ส่วนใหญ่จะเริ่มที่ 0 แล้วก็ไปที่ 5 คือเว้นทีละห้าช่องถึงจะใส่ตัวเลขกำกับไว้ แต่ก็มีเรือบางลำ บางประเภท เช่นเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ จะเริ่มมีตัวเลขกำกับ ที่ -5 หรือมากกว่านั้น หรืออาจจะเป็นตัวอักษร F .....จนถึง A แล้วจึงเป็นเลข 0 ก็มีเหมือนกัน
ใต้ตัวเลขและใต้ขีดเหล่านี้ก็อาจจะมีตัวหนังสือ ย่อ กำกับไว้อีกที
        ความหมายของมันก็คือ ตัวเลขจะเป็นตัวบอกจำนวนโครงสร้างตามขวาง หรือ FRAM ESECTION นับจากท้ายเรือไปหัวเรือ
        ส่วนตัวหนังสือใต้ตัวเลขหรือขีด หมายถึง ประเภทของโครงสร้างตามขวางนั้นว่าเป็นชนิดไหน เช่น BHD ก็เป็นผนังกันน้ำ ,WF หรือ WEB FRAME ก็คือโครงสร้างตามขวางที่ใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าโครงสร้างธรรมดา
        ส่วนโครงสร้างที่ไม่ตัวหนังสือกำกับ ก็คือ โครงสร้างตามขวางแบบธรรมดา ตามที่ผู้ออกแบบกำหนดซึ่งจะไปแสดงราบละเอียดในแบบ FRAME SECTION 
        ต่ำลงมาที่ท้ายเรือ ตรงบริเวณใต้หางเสือ มีเส้นตรงยาวตั้งฉากกับเส้นแนวน้ำหรือ L.W.L และมีตัวหนังสือ AP กำกับไว้ ตัวนีคือ AFTER PERPENDICULAR
        และมีอีกตัวทีมีเส้นตรงตั้งฉากกับ L.W.L ที่หัวเรือคือ FP คือ FORWARD PERPENDICULAR
       กำหนดไว้เพื่อวัดความยาว LBP หรือ LENGTH BETWEEN PERPENDICULAR เพื่อนำไปคำนวณหาค่าต่างๆต่อไป
            รูปถัดลงมาเป็น DECK PLAN แสดงรายระเอียดของชั้นดาดฟ้า หรือ MAIN DECK มีเส้นตรงผ่ากลาง กำกับหัวท้ายด้วย C.L. และมีขีดแบ่ง มีตัวอักษรกำกับ เหมือนรูปด้านบน ส่วนระห่างระหว่างขีดนี้แล้วแต่ผู้ออกแบบเป็นคนกำหนดครับ
          ตัวอักษรด้านขวาทั้งหมดเป็นการบอกขนาดของเรือลำนี้ครับ
          และ  SCALE 1:100 ก็คือ เมื่อไปปริ๊นแบบแผ่นนี้ตามสเกล 1:100
จะได้แบบที่สามารถเอาไม้สเกล 1:100 วัดระยะในแบบได้
                   
            รูปภาพจาก http://selinting.blogspot.com/2016/08/ukuran-pokok-kapal-main-dimention.html
                    
            รูปด้านบนแสดงการวัดความยาวเรือในช่วงต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณ
             มาถึงตรงนี้ ก็คงต้องขอจบบทความเรื่อง การออกแบบเรือ แต่เพียงเท่านี้ และก็ต้องขอขอบคุณ ทุกท่าน ที่เข้ามาอ่านแม้จะอ่านไป งงไปเหมือนผม ที่พิมพ์ไปก็ งงไปเหมือนกัน อ้อ ผมต้องขอติดไว้เรื่องหนึ่งคือ เรื่องของการต่อเรือลำนี้ครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ

เรือจำลอง, แบบเรือ, ออกแบบเรือ

MEMBER

STATISTICS

หน้าที่เข้าชม94,976 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด77,797 ครั้ง
เปิดร้าน24 พ.ค. 2561
ร้านค้าอัพเดท25 ต.ค. 2568

CONTACT US

0879262908
ตะกร้า
( 0 )
▲
▼
รายการสั่งซื้อของฉัน
เข้าสู่ระบบด้วย
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก

ยังไม่มีบัญชีเทพ สร้างบัญชีใหม่ ไม่มีค่าใช้จ่าย
สมัครสมาชิก (ฟรี)
รายการสั่งซื้อของฉัน
ข้อมูลร้านค้านี้
ร้านVIN MODEL
VIN MODEL
จำหน่าย เรือโมเดล,สอน ออกแบบ เขียนแบบเรือโมเดล กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0879262908
เบอร์โทร : 0879262908
อีเมล : r_pinsuwan@hotmail.com
ส่งข้อความติดต่อร้าน
เกี่ยวกับร้านค้านี้
ค้นหาสินค้าในร้านนี้
หรือค้นหาอย่างละเอียด
ค้นหาสินค้า
สินค้าที่ดูล่าสุด

{{pdata.name}}
ดูสินค้าทั้งหมดในร้าน
สินค้าที่ดูล่าสุด
บันทึกเป็นร้านโปรด
Join เป็นสมาชิกร้าน
แชร์หน้านี้
แชร์หน้านี้
↑
TOP เลื่อนขึ้นบนสุด
พูดคุย-สอบถาม