30 มิถุนายน 2567 1:30 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน ค่ำคืนนี้ฝนโปรยลงมาเมื่อตอนตีหนึ่งนิดๆ อากาศเย็นสบายน่านอนจริงๆ เมื่อวานลาไปแบบ งงๆ ในดงแมว ที่นอนล้อมรอบเก้าอี้ที่นั่งอยู่
คืนนี้มาโม้ต่อครับ ในจินตนาการของคนเราไม่มีข้อจำกัดเลย ก็ออกจะเกินจริงไปหน่อย ในสมัยโบราณ เรื่องเล่า หรือตำนาน ฯ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม มันก็มาจากสิ่งที่เห็นอยู่รอบตัว หรือสถานะการณ์ที่ไปพบเห็นมานั่นเอง เช่นอะไรที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ต่อหน้าต่อตา ก็จะจำเอามาเล่าต่อๆกันไป แต่เหตุการณ์บางอย่างทั้งๆที่เห็นมันเกิดขึ้นกับตา แต่ไม่รู้และไม่เข้าใจ เช่น นั่งอยู่ริมน้ำ อยู่ก็เห็นพริ้ว หรือพรายของน้ำเกิดขึ้นเป็นวงใหญ่ๆ เห็นแต่การเคลื่อนไหวของน้ำเท่านั้น ก็จะคิดไปต่างๆนาๆเพราะไม่เห็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิด อาจจะคิดไปถึงอะไรที่เหนือธรรมชาติ เช่นผี ปีศาจ ฯลฯ ทำให้มันเกิดขึ้น ยิ่งถ้าเห็นกันหลายคนยิ่งไปกันใหญ่เลยทีนี้ บางคนอาจจะเคยเห็น จระเข้ ก็บอกว่า จระเข้ทำ บางคนเคยเห็นงูเหลือมตัวใหญ่ๆ ก็จะบอกว่างูทำ ฯ เถียงกันแทบจะตีกันตายก็มี และจากคนที่เห็นไม่กี่คน พอนานไป เรื่องนี้ก็จะกระจายไปยังหมู่คนต่างๆ และรับรองได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่ซ้ำกันแน่ๆ มันก็เหมือนเรามองดูเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้านั่นแหละครับ ยืนอยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่กลับเห็นไม่เหมือนกัน ยืนเถียงกันอยู่นั่นแล้ว
เรื่องที่เล่าต่อๆกันมาก็มีสภาพที่ไม่ต่างอะไรกันมากกับการมองดูก้อนเมฆนั่นแหละครับ ฟังแล้ว ได้ยินแล้ว ก็มาเล่าต่อๆกันไป มีขาดมั่งเกินมั่งแล้วแต่ผู้เล่า เผลอๆจากคนแรกเป็นเรื่องนึง ผ่านไปยี่สิบคนกลายเป็นอีกเรื่องไปละ
และถ้าสังเกตุอีกที เรื่องเล่าหรือตำนาน ฯลฯ ที่เป็นเรื่องลี้ลับ อภินิหารต่างๆที่เราได้ยินได้อ่านในปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่าทั้งหมด ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณนั้นมันมาหมดลงเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี่เองครับ หลังจากนั้นก็จะมีแต่บันทึกที่เป็นอักษรละเพราะ กระดาษและเครื่องเขียนมันหาง่ายการเก็บรักษามันก็ง่ายขึ้นด้วย และที่สำคัญ มันมีกล้องถ่ายรูปเกิดขึ้นมาอีกด้วย จริงอยู่ที่ว่า การบันทึกด้วยตัวหนังสือ มีมาตั้งหลายพันปีแล้ว แต่บันทึกที่เป็นกระดาษแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ ที่เหลือผ่านกาลเวลามาหลายพันปีนั้นถ้าไม่อยู่บนหนังสัตว์ก็อยู่บนก้อนหินซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งภาษาที่ใช้ก็ต้องมาแปล มาตีความกันอีกหลายทอด เมื่อแปลได้แล้วก็ไม่รู้อีกว่า ข้อความนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าหรือเป็นแค่เรื่องที่คนในยุคนั้นแต่งขึ้นมาเอง เหมือนนิยายในสมัยนี้ อย่างเรื่อง รามเกียรตื์ ผ่านเวลามาตั้งหลายพันปี แปลออกไปตั้งหลายภาษา ก็ไม่รู้ว่าแต่งโดยฤษี จริงๆหรือเปล่า
แต่ที่แน่ๆ เมื่อการพัฒนาทางด้้านต่างๆเจริญมากขึ้น มีกล้อง มีเครื่องบันทึกเสียง มีสารพัดเครื่อง ปาฏิหารและอภินิหารต่างๆก็ค่อยๆหายไป เรียกได้ว่า หายไปหมดเลยก็ว่าได้ ที่เหลืออยู่ก็เป็นแค่เรื่องเล่าที่คนเล่าอ้างว่า ได้เห็น ได้เจอมากับตัวเองเท่านั้น
พอชาวโลกก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ นิยาย นิทานต่างๆก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง องค์ประกอบต่างๆในเรื่องก็จะร่วมสมัยกับยุคปัจจุบันมากขึ้น แต่พอเข้ายุค ค.ศ. 1950 เมื่อมนุษย์เริ่มที่จะออกไปนอกโลกกันแล้ว จินตนาการในการแต่เรื่องของคนเราก็ทยานตามออกไปด้วยเช่นกัน เสื้อผ้าหน้าผมก็จะออกแนวชุดสีเงินๆ กางเกงกับเสื้อก็จะกลายเป็นชุดเดียตลอดลำตัวไปเลย ส่วนประกอบอื่นๆก็ตามไปด้วย จากการส่งโทรเลขก็กลายเป็นส่งวิทยุติดต่อกันแทนยานพานะก็เหมือนจะลอยไปในอากาศได้ รูปร่างก็จะออกแนวกลมๆ แบนๆ หรือยาวๆมนๆ ก็ว่ากันไปตามที่เคยเห็นในข่าวหรือในรูปต่างๆที่ถูกปล่อยออกมา แต่ทั้งหมดก็จะไม่เกินไปกว่านั้นแน่ๆ เพราะยังไม่มีใครเคยเห็นหรือสร้างอะไรที่มันล้ำไปกว่านั้นแล้ว ลองไปหาดูหนังไซไฟ เก่าๆดูได้เลยครับ จินตนาการไปไกลแล้ว แต่ภาพที่เราเห็นมันทำได้แค่นั้นจริงๆ เพราะเคยเห็นและรู้มาแค่นั้น
อีกตัวอย่างหนึ่งก็ได้ครับชัดดี คนไทยที่มีอายุพอๆกับผม หรือประมาณ หกสิบปีขึ้นไป จำนวนไม่น้อย ต้องรู้จักนิยายที่มีเนื้อเรื่องยาวที่สุดและใช้เวลาเขียนที่นานที่สุดถึงยี่สิบห้าปีกว่าๆของประเทศไทยอย่างแน่นอน นั่นคือนิยายเรื่อง เพชรพระอุมา ประพันธ์โดย ท่าน พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาครับ ประวัติคร่าวๆมีมากมายในอิเตอเนต หาได้ไม่ยากครับ ผมก็เคยทำบทความเกี่ยวกับท่านไว้บ้าง ลองไปค้นดูครับ
เพชรพระอุมา เริ่มเขียนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และจบลงเมื่อ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2533 รวมเวลาทั้งหมด 25 ปี กับอีก 7 เดือน มีอายุพอๆกับผมเลยก็ว่าได้
สมัยปี พ.ศ. 2507 ป่าไม้ในบ้านเรายังมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์มากๆ ดั่งในนิยายที่เขียนเอาไว้ไม่มีผิด ถนนหนทางตามต่างจังหวัดก็เป็นดินลูกรังซะเยอะ ออกนอกตัวอำเภอหน่อยเดียวก็หัวแดงกันแล้วครับ เรื่องนี้ผมยืนยันได้ ทุกจังหวัดเป็นเหมือนกัน แม้แต่แถวรังสิต ปทุม นี่ก็ฝุ่นทั้งนั้น คนรวยสมัยนั้นใช้แต่รถจากยุโรปครับเหมือนในนิยายที่เขียนไว้ จากั้ว ซีตรอง เบนส์ ฯ ถ้าจะลุยก็ต้อง แลนโรเวอร์ หน่วยงานราชการสมัยนั้นใช้กันเยอะมากเห็นกันจนชินตา ในนิยาย เมื่อเริ่มเรื่อง ก็อยู่ในป่าแล้ว เครื่องมือสื่อสารไม่มี วิทยุรับส่งมีแบบตั้งโต๊ะ เครื่องใหญ่ๆ ไฟฉายก็กระบอกเท่าข้าวหลามยาวเป็นศอก ถ่านไฟฉายก็ก้อนใหญ่ๆ รองเท้าเดินป่าก็รองเท้าทหาร หรือถ้าของพระเอกก็เป็นแค่รองเท้าผ้าใบเท่านั้น อาวุธปืนต่างๆก็เป็นทีสุดของยุคนั้นเหมือนกัน พอเดินเข้าป่าลึกเข้าไป สัตว์ป่าก็จะตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แปลกหูแปลกตามากขึ้น เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องเล่นแผ่นเสียงก็เล็กลงแต่ในยุคนั้นนับว่า ไฮเทคสุดๆแล้วครับ นาฬิกาที่ใส่กันก็เป็นแบบไขลานของพระเอก ส่วนของคุณชายทั้งหลายก็เป็นแบบ ออโตเมติค ซึ่งก็เป็นที่สุดของยุคเหมือนกัน ก็มีกันเท่านั้น แถมหิ้วระเบิด ทีเอ็นทีแบบแท่งยาวๆที่เราคุ้นตากันในหนังไปเป็นหีบด้วยอีกต่างหาก ซีโฟ อะไรไม่มีครับ นั่นคือในภาคแรก
พอขึ้นภาคสอง น่าจะหลังสงครามเวียตนามไปแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ อาวุธปืน ระเบิด และเครื่องมือสื่อสาร ทุกอย่างมีครบเลย เอ็มสิบหก ระเบิดมือขนาดเล็ก ซีโฟก็มา วิทยุรับส่งเท่าฝ่ามือก็มีแถมตากแดดชาจน์ได้อีกต่างหาก มียาเม็ดกินแล้วอิ่มเหมือนกินข้าวอีด้วย มีเฮลิคอบเตอร์บินมาส่งพิซ่าอีกต่างหาก ถ่านไฟฉายก็เล็กลง กระบอกไฟฉายก็เล็กลง ขาดแต่โทรศัพย์มือถือกับจีพีเอส เท่านั้นเองที่ไม่มี เพราะช่วงนั้นมันยังเครื่องใหญ่อยู่ ปี 2530 จีพีเอสเริ่มเข้ามาใช้ในเรือเดินทะเลและเรือประมงบ้านเรากันแล้วแต่เครื่องบิ๊กเบิ้มเลยครับ ยิ่งพอตอนจะจบนี่ พีคเลยทีเดียว มีเครื่องบินไอพ่นขึ้นลงทางดิ่งมารับพวกต่างชาติกลับบ้านอีกต่างหาก ซึ่งช่วงเวลานั้น มีเครื่อง แฮริเออ ที่สร้างและใช้โดยอังกฤษแล้วนะครับ สงครามแรกของมันก็คือ หมู่เกาะ ฟอคล์แลนด์ ไปซัดกับอาเจนติน่านั่นแหละครับ และในนิยายมันเป็นเครื่องบินล่องหนอีกต่างหาก เพราะตอนนั้น อเมริกาเปิดตัวเครื่องบินล่องหนหรือ F 117 Stealth Fighter และสงครามแรกอย่างเป็นทางการของมันก็คือบินไป ถล่มอิรัคนั่นเอง
จะเห็นว่า เรื่องเล่าหรือนิยาย ก็จะมีองค์ประกอบต่างๆอยู่ในยุคของมันนั่นเองครับ แต่ทีนี้ พอมีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้การสำรวจหาความรู้ในด้านต่างๆก้าวหน้ารวดเร็วมากขึ้น เท่านั้นแหละครับ จินตนาการของคนก็เริ่มที่จะไม่มีขีดจำกัดกันแล้ว จะไปโลกไหน จะทำหุ่นตัวเท่าตึก จะมุดโลกลงไปเป็นพันกิโล ฯลฯ ก็ทำได้หมดแล้ว
555555 มั่วน่าดูเลยครับ ยอมรับตรงๆ ก็แค่จะบอกว่าทุกอย่างในปัจจุบันที่เราเห็นๆกันอยู่ต่อหน้าเรา อย่าคิดว่ามันจะเป็นจริงเสมอไปนะครับ
เกือบตีสี่ละ จบจนได้ ราตรีสวัสดิครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีกันทุกคนครับ
3:58
...................................................................................................................