19 กุมภาพันธ์ 2567 0:10 น. สวัสดีครับทุกท่าน เมื่อคืนพิมพ์ผิดไปเยอะพอสมควรตามประสาคนแก่ต้องมาไล่แก้อีกที
มาต่อจากเมื่อวานนี้ ที่ผมได้เป็นผู้สังเกตุการณ์กู้เรืออย่างที่บอกไปแล้ว ส่วนสาเหตุการจมของเรือผมจะไม่กล่าวถึงเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นะครับ แต่จากการสอบถามลูกน้องและเพื่อนๆที่อยู่ในเรือขณะนั้นบอกเหมือนกันหมดว่า เมื่อเรือแล่นมาถึงบริเวณนั้น อยู่ๆท้องทะเลที่สงบราบเรียบ ก็เกิดคลื่นขนาดใหญ่สัดเข้ามาทุกทิศทางต่างเวลากัน แต่มาติดๆกัน ทำให้น้ำทะเลเข้ามาในระวางบรรทุกและหัวเรือ เพราะฝาปิดทางลงหัวเรือถูกคลื่นกระแทกหลุดออกไป ทำให้หัวเรือเริ่มจม และเมื่อถึงตอนนั้นทุกคนที่อยู่บนเรือก็เตรียมตัวสละเรือกันแล้ว บางคนก็ใส่เสื้อชูชีพ แต่บางคนก็คว้าแกลลอนพลาสติกแล้วก็กระโดดลงน้ำ ไม่นานเรือก็พลิกเอาท้องเรือขึ้นเหนือน้ำ หัวเรือมุดน้ำอยู่ เครื่องยนต์ยังไม่ดับ ใบจักรฟันอากาศทั้งสองข้าง แล้วเรือก็ค่อยๆจมลง.........
หลังจากนั้นหลายวัน ลูกเรือทั้งหมดก็ได้รับความช่วยเหลือจากเรือประมง เอาไปขึ้นฝั่งที่เกาะกูด จึงติดต่อกันได้ สมัยนั้น มือถือก็เครื่องใหญ่ๆแบนๆยาว มีเสาอากาศ โทรฯทีก็นาทีละหลายบาทอยู่ แต่ยังดีที่ยังเล็กกว่ารุ่นกระดูกหมาอยู่เยอะ โชคยังดีที่ลูกเรือทุกคนปลอดภัย แต่โดนแดดเผากันหัวหูคอดำไปหมด แต่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสเลย
ผ่านไปประมาณสองอาทิต์(มั้ง ผมก็จำไม่ค่อยได้ละครับ) ก็ได้มีการวางแผนค้นหาจุดที่เรือจม โดยเอาตำแหน่งสุดท้ายที่กัปตันบันทึกไว้เป็นจุดเริ่มต้น วิธีค้นหาก็คือใช้เรือชาวบ้านขนาดเล็กที่เรียกว่าเรือเฝ้าซั้ง ยาวประมาณสิบกว่าเมตร แต่ติดตั้ง ซาวน์เดอร์ หรืออุปกรณ์หาปลา ในเวลานั้นก็ไฮเทคพอสมควร เรือประมงเล็กใหญ่ใช้กันหมด แต่ราคาก็ยังสูงอยู่มาก มีจอแสดงผลเป็น LCD สี เล็กๆไม่น่าจะเกินสิบนิ้ว แสดงความลึกและปลาเล็กใหญ ตลอดจนสภาพพื้นดินใต้น้ำบริเวณที่อยู่ใต้ท้องเรือในขณะนั้นอย่างชัดเจน
ผมก็ลงเรือลำนี้ไปกับเขาด้วยเหมือนกัน มีสเบียงพออยู่ได้หลายวัน และระหว่างการแล่นเรือนั้น หลายคนก็ตกปลาไปด้วย ได้ปลาอินทรีย์ขนาดเท่าขาผู้ใหญ่มาหลายตัว ปลาหมึกเอย ปลาทูเอย แต่ละมื้อ ซีฟูดดีๆนีเองครับ นั่งเรืออกไปจากแม่น้ำตราด กว่าจะถึงจุดเรือจมก็นานอยู่น่าจะเป็นวันได้ เพราะความเร็วเรือแค่สิบกว่าน๊อตเอง เผลอๆไม่ถึงสิบด้วยซ้ำ เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ออกไปกับเรือขนาดเล็กแบบนี้เป็นเวลานานหลายวัน ห้องส้วมทั้งเบาทั้งหนักก็ท้ายเรือนั่นแหละครับ มีน้ำล้างอัตโนมัต แต่อย่าเผลอปล่อยมือละกัน รับรองว่ารอดยาก เวลาใครจะใช้ท้ายเรือต้องบอกเพื่อนๆให้คอยดูด้วย มันก็แปลกๆนะครับ นั่งทำธุระสำคัญอยู่แต่ก็ต้องมองตาเพื่อนไปด้วย ทำไงได้ล่ะครับ 555555555
ผลัดกันถือท้ายเรือ ผลัดกันนอน ผลัดกันดูจอซาวน์เดอร์ แล่นเรืออยู่สองวันได้มั้งประมาณนั้น ก็ได้ยินวิทยุบอกข่าวกันไปมาของเรือประมงบริเวณใกล็เคียง ว่า มีเรืออวนลากของมหาชัย ลากอวนติดซากเรือขนาดใหญ่ ซึ่งในแผนที่ไม่มีระบุไว้ ก็สอบถามกันจนได้ตำแหน่งแน่นอน พวกผมก็ไปกัน ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเจอกันเพราะเรือที่ผมไปด้วย ไม่มีเรด้าห์และจีพีเอส(หรือเปล่าก็จำไม่ได้ แต่ที่ซาวน์เดอร์น่าจะมีมั้งครับ.....)อาศัยเข็มทิศและภูมิประเทศตามฝั่งทะเลและเกาะกูดที่เห็นอยู่ไกลลิบๆเป็นหลัก นอกนั้นเป็นความชำนาญของเจ้าของที่มาด้วยโดยเฉพาะ เก่งจริงๆครับ
อืม....ไปๆมาๆก็ยาวนะเนีย เอาเป็นว่า หาเจอก็แล้วกัน ติดอวนเรือลากอยู่ เอาเรือวนดู ที่จอแสดงภาพของท้องเรือหงายขึ้นรูปทรงคุ้นตามากๆ(แหม ไปยืนดู นั่งดู เดินดูช่างต่อเรือลำนี้มาเกือบปีจำไม่ได้ก็แย่แล้วครัับ) ท้องเรือกว้างๆวีนิดๆ เอากล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิมล์ ถ่ายหน้าจอไว้ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการค้นหา ได้ตำแหน่งชัดเจน เอ แต่รู้สึกว่าในตัวซาวน์เดอร์ในตอนนั้นจะมี จีพีเอสอยู่ด้วยมั้งครับ จำไม่ได้ละ แต่ไม่มีเรด้าห์แน่นอน แต่สรุปว่าได้ตำแหน่งเรือจมแน่นอน เพราะเอาตำแหน่งของเรืออวนลากมาด้วย เห็นเป็นเรืออวนลากไม้ ยาวน่าจะสิบกว่าวา ดูเก่าๆ แต่เครื่องมือเดินเรือเมื่อเห็นแล้วนี่ ไม่ธรรมดาเลยครับ มีทุกอย่างน่าจะขาดแค่โซน่าหรือ แอคโค่ ที่ใช้บนเรือรบเท่านั้น ราคารวมก็น่าจะเจ็ดหลักแหงๆ
หลังจากนั้นก็มาวางแผนกู้เรือกัน แต่ก่อนจะกู้เรือ ต้องลงไปเห็นสภาพเรือจริงๆซะก่อน ขั้นตอนนี้ได้รับความช่วยเหลือจาก กองทัพเรือ ที่มาจากสัตหีบเป็นอย่างมาก ช่วงนี้เองครับที่ผมได้เห็น หน่วยซีล ของกองทัพเรือตัวเป็นๆ หลังจากเคยอ่านแต่ในหนังสือ สมรภูมิ มานาน ซีลทีมนี้มีหลายท่าน เรานัดเจอกันที่ตำแหน่งเรือจม โดยผมต้องไปขึ้นเรือใหญ่(เรือรบ) ที่ท้ายเกาะกูดโดยนั่งเรือสปีดโบ๊ทออกไป กว่าจะเจอกันก็น่วมครับ เพราะทะเลมีคลื่นเล็กน้อย.......
ผมไปพร้อมกับเพื่อนอีกหนึ่งคน เอาโมเดลเรือที่จมไปด้วย มีหน้าที่อธิบายคุณลักษณะต่างๆของเรือลำนี้ให้กับทีมซีลที่จะดำลงไปถ่ายรูปเรือที่จมอยู่ในความลึกระดับ 50 กว่าเมตร
ที่บริเวณนั้นก็มีเรือประมงที่รับงานมาเป็นเรือพี่เลี้ยงรออยู่แล้วไม่ใหญ่มากแต่ก็ใหญ่กว่าเรือเฝ้าซั้งพอสมควร ใช้เป็นฐานปล่อยนักดำน้ำ เพราะสดวกกว่าเรือรบขนาดใหญ่ที่มาด้วยมากกว่านั่นเองครับ
ขอเล่าเพิ่มอีกนิดนึงครับ ระหว่างที่อยู่บนเรือรบลำนั้น พอใกล้ถึงจุดเรือจม ก็มีประกาศเสียงตามสายของเรือได้ยินกันไปทั่ว ว่า "ขณะนี้ได้ตรวจพบเป้าหมายแล้ว เป็นเรือจมอยู่ที่ก้นทะเลที่ความลึก... ในระยะห้ากิโลเมตรจากทิศ...ของหัวเรือ......." ผมได้ยินก็อึ้งเหมือนกันนะครับ ระยะตั้งห้ากิโลฯ ลึกตั้งห้าสิบกว่าเมตร เรือก็ไม่ได้ลำใหญ่เท่าไหร่ ยาวแค่สี่สิบห้าเมตร กว้างสิบสองเมตรกว่า ตัวเรือลึกแค่สามเมตรหน่อยๆเอง แถมจมเลนไปตั้งเยอะเมื่อดูจากซาวน์เดอร์บนเรือค้นหาในตอนนั้น แต่เรือรบลำนี้สามารถที่จะเห็นในระยะตั้งห้ากิโลฯ ก่อนที่จะถึงจุดเรือจมซะอีก ถ้านึกไม่ออกว่าระยะห้ากิโลเมตรเมื่ออยู่ในทะเลมันไกลขนาดไหน ก็ลองนึกภาพตอนเรายืนอยู่ที่บ้านเพ แล้วมองไปที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยองสิครับ นั่นแหละครับ ประมาณนั้น แต่ เกาะเสม็ดจะไกลกว่าหน่อยนึงคือ หกกิโลฯจากฝั่งบ้านเพ
นั่นคือปี พ.ศ. 2536 นะครับ เทคโนโลยี่ของกองทัพเรือไทยยังขนาดนั้น แล้วปัจจุบันผ่านมาสามสิบกว่าปีจะขนาดไหนไปเดากันเอาเองนะครับ
แฮะๆ เริ่มมึนอีกแล้วครับ ต้องขออภัยทุกท่านด้วยครับขอมาต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน
1:28 น.
20 กุมภาพันธ์ 2567 0:7 น. สวัสดีครับทุกท่าน หลังเที่ยงคืนเล็กน้อยครับ มาถึงตอนที่สามละ ทีแรกว่าจะเล่าถึงประสปการณ์ในการลงน้ำของผมเท่านั้นเอง แค่ไปๆมาๆกลายเป็นเรื่องยาวไปซะแล้ว แต่นั่นก็คือเรื่องที่ผมผ่านมาในอดีตนั่นเอง มีคำกล่าวที่ว่า คนที่ทำงานเกี่ยวกับเรือ ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม "เกล็ดจะไม่แห้ง" ตลอดไป ประมาณนั้นครับ
มาต่อกันครับ อย่างที่เล่าไปเมื่อวาน ก่อนที่จะทำการกู้เรือก็ต้องลงไปเห็นไปเห็นสภาพเรือจริงๆที่อยู่ก้นทะเลซะก่อน แล้วจึงเอาข้อมูลต่างๆที่ได้มา วางแผนการกู้เรือต่อไป จะทำหรือไม่ทำ จะคุ้มหรือไม่คุ้มกับการลงทุนกู้เรือขึ้นมา นั่นก็อยู่ที่เหตุผลหลายอย่างเหมือนกัน
และผู้ที่จะลงไปดูสภาพของเรือที่จมอยู่ก้นทะเลที่ระดับความลึกเกินห้าสิบเมตร นั่นก็คือ ทีมซีล ของกองทัพเรือนั่นเอง และก็ครั้งนี้เองที่ผมได้ทราบข้อเท็จจริงหลายๆอย่างเกี่ยวกับการดำน้ำลึกจากปากของผู้เชี่ยวชาญตัวเป็นๆ ซึ่งก่อนหน้านั้น ผมก็แค่ได้อ่าน ได้ดูสารคดีในทีวี ว่า ฯลฯ เยอะแยะไปหมดเกี่ยวกับการดำน้ำแบบ Scuba Diving หรือการดำน้ำลึก
คร่าวๆก็คือ เนื่องจากเรือจมอยู่ที่ก้นทะเลในระดับความลึกมาก จึงต้องมีการวางแผนการดำน้ำกันอย่างรัดกุม เหตุผลก็คือ ทุกหนึ่งเมตรใต้น้ำ ความดันของน้ำที่มากระทำต่อร่างกายของเราจะเพิ่มขึ้น เท่ากับแรงกด หนึ่งตันต่อพื้นที่หนึ่งตารางเมตร เมื่อความดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงถึงจุดหนึ่ง ก๊าซต่างๆในเส้นเลือดของเราก็จะจับตัวกันกลายเป็นของเหลว ตอนลงก็ไม่เท่าไหร่ครับ แต่ตอนทำงานและต้องเปลี่ยนระดับความลึกไป มา นั่นก็คืออันตรายอย่างมาก เพราะเมื่อความดันที่กระทำต่อร่างกายของเราเริ่มน้อยลงเมื่อเราลอยตัวขึ้นจากความลึกมากๆ ก๊าซที่ถูกอัดเป็นของเหลวก็จะกลายสภาพเป็นก๊าซเหมือนเดิม แต่มันจะไม่ได้กลับเข้าไปผสมกับเลือดเหมือนเดิม มันจะกลายเป็น "ฟองอากาศ" ที่อยู่ในเส้นเลือดแทน นั่นก็เท่ากับว่า มีฟองก๊าซ ไปขวางทางเดินของเลือดเข้าแล้ว และเมื่อระดับความลึกน้อยลง เจ้าฟองก๊าซนี้ก็จะขยายตัวออกตามความดันที่ลดลง ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้เส้นเลือด แตกได้ ตามบริเวณต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะที่หัว นักดำน้ำหลายราย ทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพ ก็เสียชีวิตหรือพิการ ไปหลายรายจากอาการนี้นั่นเอง
วิธีแก้ก็คือ การดำน้ำที่ระดับความลึกมากๆ ต้องเตรียมถังอากาศไว้ให้มากพอ ต่อการดำในแต่ละเที่ยวซึ่งผู้ที่เรียนมา จะมีตารางดำน้ำกำหนดไว้อย่างชัดเจนในการดำน้ำลึกที่ระดับต่างๆ ว่าจะต้องใช้อากาศกี่ถัง อยู่ที่ระดับนั้นๆได้กี่นาที และการขึ้นมาจากระดับความลึกต่างๆนั้นต้องใช้เวาลา ไม่ต่ำกว่ากี่นาทีและต้องมาแวะ "พักน้ำ" ที่ระดับความลึกเท่าไหรกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมง เพื่อให้ก๊าซที่เป็นของเหลวค่อยๆละลายปนไปกับกระแสเลือด ไม่เกิดเป็นฟองอากาศขึ้นในเส้นเลือด ซึ่งกระบวนการทั้งหมด ใช้คำว่าประมาณไม่ได้นะครับ ต้องได้ตามเวลาที่กำหนดในแผนการดำน้ำในแต่ละครั้งเท่านั้น เรียกว่าถ้าไม่อยากตายหรือพิการก็อย่า "ประมาณ" หรือ "ไม่เป็นไร" เด็ดขาด นี่คือคำบอกเล่าจากปากของนักดำน้ำลึกตัวเป็นๆที่ผมเจอมากับตัวเอง และในครั้งนี้นอกจากจะได้ฟัง ทฤษฎี ที่เหมือนกับการได้นั่งดูสารคดีแล้ว ยังได้เห็นการทำงานจริงๆของเหล่านักดำน้ำลึกอีกต่างหาก แถมพี่แกยังจะชวนผมลงไปด้วย แหม พี่เล่ามาขนาดนี้ ไอ้ผมแค่ลูกอ๊อดยังแพ้มันเลยไหนเลยจะกล้าลงไปกับพวกพี่ล่ะครับ แฮะๆ
แผนลำรองในกรณีฉุกเฉินก็คือ จะมี ฮ มารับนักดำน้ำที่มีปัญหากลับไปที่สัตหีบและนำเข้าห้องปรับความดันต่อไปครับ
รูปร่างของ ซีล ทีมนี้แต่ละท่าน ต้องขออภัยด้วยครับ ถ้าจะบอกว่า เหมือนชาวเลมากกว่าถ้าผมไม่เกรียนแบบทหารนี่ ชาวเลชัดๆ ไอ้ที่มีกล้ามเป็นมัดๆแบบกล้ามปู ตัวใหญ่ๆเหมือนที่เราเห็นทหารอเมริกันนั่นน่ะ ไม่มีหรอกครับ ออกจะเพรียวๆกันทั้งหมดด้วยซ้ำไป แต่ โดนตรงไหน แขน ขา ลำตัว นี่ไม่มียุบหรืออ่อนนุ่มนิ่มนะครับ แกร่งไปทั้งตัวเลยทีเดียว
วิธีการลงไปคราวนี้ก็คือ เขาจะลากสมอเหล็กเล็กๆให้ติดกับเป้าหมายด้วยเชือกขนาดพอเหมาะแต่เหนียวมาก รับน้ำหนักได้เยอะ เรียกว่า เชือกนำ และทุกคนก็จะดำน้ำลงไปโดยเกาะตามเชือกเส้นนี้ ลงไปทีละหลายคนผมจำจำนวนไม่ได้ แต่ละคนก็ทั้งแบกทั้งหิ้วถังอากาศติดไปด้วยหลายถัง ซึ่งทั้งหมด มีเวลาทำงานที่เป้าหมายแค่ สิบนาที และต้องขึ้นมาพักน้ำที่ระดับความลึกหนึ่งซึ่งจะผูกถังอากาศเอาไว้หลายถังมาก อยู่ตรงนั้นอีกเป็นชั่วโมง ถึงจะขึ้นมาจากน้ำได้ ชุดหนึ่งลงไปและขึ้นมาจากผิวน้ำใช้เวลาหลายชั่วโมงครับ บางคนขึ้นมาถึงผิวน้ำก็ยังมีเลือดกำเดาออกมาก็มี อันตรายมากจริงๆ
ใครว่า หน่วยซีล ไม่เมาคลื่น อันนี้ผมขอเถียงครับ 55555 มีบางท่าน รออยู่บนเรือกับผม ยัง อ๊วกเลย ต้องกระโดดลงน้ำไป เขาบอกมันช่วยได้ แล้วผมจะรออะไรล่ะครับ คว้าแว่นดำน้ำอันละสี่ร้อยกว่าบาทมาใส่แล้วก็ลงตามพี่เขาไปแต่โดยดี ฮิ้วๆๆๆๆ น้ำทะเล ณ ที่ตรงนั้น มันใสแจ๋วเลยครับ เห็นฟองอากาศ ที่พุ่งขึ้นมาจากนักดำน้ำข้างล่างไกลลิบ เป็นฟองเล็กๆแล้วก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น จนเท่าลูกบอลเมื่อพ้นผิวน้ำ และผมยังได้เห็นปลาขนุน ตัวแบนๆใหญ่กว่าฝาหม้อข้าวที่บ้าน ว่ายมาเป็นฝูง น่าจะลึกมากกว่าสิบเมตร สวยงามมากจริงๆ เหาฉลามก็มี ปลาเล็กปลาน้อยเยอะแยะไปหมด สีสันลานตาเลยทีเดียว
และระหว่างรอ ไม่มีอะไรทำ บางคนก็ตกปลา บางคนก็นอน ผมก็ด้วย เหนื่อยมากครับ ขนาดนั่งๆนอนๆ โดดน้ำแก้เมาคลื่น เท่านั้นเองยังหมดแรงเลย ถ้าเป็นตอนนี้คงไม่รอดจริงๆ ครั้งนึงตกได้ปลาทูตัวใหญ่มาก เห็นในน้ำ กำลังดึงขึ้นมา แต่อยู่ๆก็มีตัวดำๆใหญ่กว่าหน่อย ว่ายมาคว้ามันไป ก็ยิ่งรีบดึงขึ้นมา จนจะถึงผิวน้ำอยู่แล้ว ปลาทูดิ้นหลุดไปได้แต่ไอ้ตัวดำๆมันยังติดอยู่เลยเสร็จแทน มันคือ ปลาหมึกกล้วยตัวเล็กกว่าแขนผมหน่อยเดียวเอง เสร็จเรา ซีฟูดอีกแล้วครับ ขึ้นมาได้ ล้างน้ำทะเล หั่นเป็นชิ้นๆ น้ำจิ้มซีฟูด อื่อหือ......
ตั้องแต่ฟ้าสว่าง จนเย็นก็เสร็จภาระกิจ ได้ถ่ายรูปและเห็นสภาพต่างๆของเรือที่จมอยู่ใต้ทะเล ก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับ หน่วยซีลทั้งหมดก็กลับขึ้นเรือใหญ่จากไป ผมและคนอื่นๆก็นั่งเรือประมงที่เช่ามากลับคลองใหญ่ ใกล้ๆชายแดนกำพูชา พักกันคืนนึงแล้วก็กลับไปรอภาพถ่ายใต้น้ำ เพื่อนำมาวางแผนต่อไป นั่นเป็นครั้งสุกท้าย ที่ผมได้ลงทะเลบริเวณนั้นครับ
หลังจากนั้นการวางแผนที่จะกู้เรือก็มีผู้เสนอตัวมาหลายราย แต่ด้วยงบประมาณค่อนข้างสูงมาก สุดท้ายก็ต้องปล่อย "เธอ" ให้นอนสงบนิ่งอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ครับ ความจริงมีรายละเอียดมากกวานี้เยอะมากๆ ซึ่งมันไม่สนุกเลย ผมก็เลยขอสรุปเรื่องการกู้เรือลำนี้ไว้เพียงเท่านี้ครับ
และก็เหมือนเดิม เมื่อไหร่ที่มีโอกาสลงทะเลผมก็จะไม่พลาดที่จะใสแว่นดำน้ำ ลงไปดูความสวยงามใต้ท้องทะเล แม้บางพื้นที่น้ำจะลึกเพียงแค่เอว แตใต้น้ำนั้นก็สวยงามยิ่งนัก สมุย พีพี เกาะเสม็ด แม้แต่หาดทรายตื้นๆ มีแต่ทรายผมก็ไม่พลาด อ่าวกระทิง หาดจ้าวหลาว แหลมเสด็จ จังหวัดจันทบุรี ฯ จนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ลงน้ำทะเลอีกเลย แม้บางช่วงเวลาจะไปทำงานที่ริมชายฝั่งทะเลเกือบทุกอาทิตย์ แม้แต่น้ำทะเลสักนิดยังไม่ได้โดนเท้าเลยครับ ได้แต่นั่งมองอย่างเดียว จนปัจจุบันนี้ก็คงหมดโอกาสที่จะได้ลงไปชมความสวยงามใต้ท้องทะเลอีกแล้วเพราะด้วยสุขภาพที่ไม่อำนวยเลย
ในน้ำ ไม่ว่าจะน้ำจืดหรือน้ำทะเล มันมีอันตรายแฝงอยู่ทุกที่ครับ ที่ผมเล่ามาก็เป็นแค่เรื่องที่ผมเจอมากับตัวเอง อย่ามาเอาเป็นตัวอย่างนะครับ ใครที่ว่ายน้ำไม่เป็นถ้าอายุยังน้อย ถ้ามีโอกาสก็ควรจะไปเรียนหรือหัดว่ายน้ำให้เป็นกับผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นดีที่สุดครับ ยอมเสีบเงินเสียเวลาหน่อย ฉุกเฉินขึ้นมาอย่างน้อยก็เอาตัวรอดได้ และหรืออาจจะช่วยชีวิตคนอื่นได้อีกด้วยโดยเฉพาะคนอันเป็นที่รักของเรา เมื่อไม่กี่วันนี้เห็นข่าว พ่อกับแม่ลงไปช่วยลูกที่จมน้ำในสระแล้วก็พลอยไปด้วยกันทั้งสามคน ผมนี่หดหู่ใจมากจริงๆครับ กระทรวงศึกษาควรที่จะต้องทำอะไรบ้างแล้วครับเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ละปีมีเด็กหายไปกับน้ำจำนวนมากเหลือเกิน สระว่ายน้ำมันจะแพงสักแค่ไหนกันเชียว ทำไมโรงเรียนของรัฐฯถึงมีมันไม่ได้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ยิ่งโรงเรียนตามต่างจังหวัดมีพื้นที่มากมาย แค่สระว่ายน้ำสำหรับฝึกให้เด็กว่ายน้ำเป็นทำไมถึงสร้างไม่ได้กัน ก็แค่บนไปอย่างนั้นเองครับอย่าถือสาผมเลย
จะตีสองละ ก็ต้องบอก ราตรีสวัสดิ์กับทุกท่านสำหรับคืนนี้ครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้าครับ
1:59 น.
............................................................................................................................
...........................................................................................................................