18 กุมภาพันธ์ 2567 1:38 น. สวัสดีครับทุกท่าน ตีหนึ่งกว่าๆละ ดึกไปหน่อยครับ แต่ทำไงได้ก็มันมาคิดออกเอาตอนนี้นี่ครับ ทิ้งข้ามวันเดี๋ยวก็ลืมอีก
วันนี้ผมจะพาไปดูอีกโลกหนึ่งในมุมมองและสายตาของผมที่ผ่านมาในอดีตกันครับ ตั้งแต่เด็กๆพอจำความได้ เชื่อได้ว่าเด็กๆทุกคนโดยเฉพาะเด็กผู้ชาย กับ "น้ำ" นี่เป็นอะไรที่เห็นไม่ได้เลยทีเดียว ต้องรี่เข้าใส่กันเลย น้ำในที่นี้ผมหมายถึง น้ำในอ่าง ในกาละมัง ในตุ่ม ในบ่อ ในสระ ในห้วย หนอง คลองบึง แม่น้ำ จนถึงทะเล หรือเป็นแอ่งน้ำข้างถนนหรือแม้แต่อยู่บนถนนก็เถอะ อ้อ มีอีกน้ำนึงที่เด็กๆชอบกันมากคือ น้ำฝน ไงครับ ไม่นับน้ำที่อยู่ในแก้วหรืออยู่ในภาชนะที่เด็กๆลงไปแช่เล่นไม่ได้นะครับ 5555555
บ้านใครรวยๆก็จะมีสระว่ายน้ำอยู่ในบ้านขนาดก็ตามความรวยของเจ้าของบ้านนั่นแหละครับ ส่วนบ้านที่ไม่มีพื้นที่มากนักหรืองบน้อนหน่อย ก็ใช้สระแบบยางใส่น้ำลงไปแค่ครึ่งหน้าแข้งก็กลายเป็นสวรรค์สำหรับเด็กๆในวันที่อากาศร้อนๆได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นบ้านในเมือง แต่เด็กตามต่างจังหวัดสมัยผมเล็กๆ ก็ได้แต่อาศัยแหล่งน้ำประจำหมู่บ้าน หรือลำห้วย หรืออ่างเก็บน้ำ ฯ ในการลงไปเล่นสนุกกัน
ผมเองก็ว่ายน้ำเป็นในลำห้วยข้างๆทุ่งนานั่นเองครับตอนอยู่ ประถมห้า ถือว่าเป็นโขคดีของผมเป็นอย่างมาก เพราะได้เพื่อนดี หลอกให้ลงน้ำในลำห้วยแล้วก็ทำตามที่เพื่อนบอกคือ เมื่อน้ำถึงเอวก็ให้พุ่งตัวขนานไปกับผืนน้ำแล้วก็ใช้มือทั้งสองข้าง ตะกุยน้ำที่บริเวณใต้หน้าอกแล้วก็เตะขาไปด้วย อย่าหยุด และที่สำคัญ ต้องเงยหน้าพ้นน้ำเข้าไว้........
ไม่น่าเชื่อว่าจากเด็กที่ไม่เคยลงน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติใดๆมาก่อน ทะเลก็ไม่เคยเห็น แหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในตอนนั้นก็คือ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่ท่านแม่เคยพานั่งเรือข้ามฟากไปมา อ้อ ทื่เขื่อนลำตะคลองอีกที่ เวลานั่งรถโดยสารมาจาก กทม ไปบ้านท่านยาย แค่นั้นเอง แต่กลับกล้าที่จะทำตามเพื่อนบอกเพียงไม่กี่คำ และที่แปลกกว่านั้นก็คือ เพื่อนที่ว่า ก็เพิ่งเคยเจอกันในวันนั้น ณ ที่ริมห้วยตรงนั้นนั่นเอง เขามานั่งตกปลาในวันหยุด และผมก็เดินมเที่ยวเล่นคนเดียวตามที่พี่ชายเคยพามาตกปลา ลำห้วยนี้อยู่ห่างจากบ้านไม่ถึงร้อยเมตรด้วยซ้ำ
พอเจอกันก็มองหน้ากันแปบนึง ไอ้ผมก็เด็ก กทม ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดไม่กี่เดือน เห็นเด็กรุ่นๆเดียวกันนั่งตกปลาอยู่ก็สนใจอยากจะคุยด้วย เด็ก กทม ตอนนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรแต่อยากรู้ไปหมด ก็ถามกันไป ตอบกันมา เห็นเขาตกปลาได้ก็อยากลองมั่ง คันเบ็ดก็ไม้ไผ่ผูกสายเอ็นเส้นเล็กๆมีทุ่นเป็ไม้ทองหลาง อยู่ห่างจากตัวเบ็ดประมาณศอกนึงเห็นจะได้
เคยเห็นแต่ในทีวี ฝรั่งตกปลา เขาตวัดคันเบ็ดอย่างแรง ก็เอามั่ง พอปลาเริ่มตอดๆเหยื่อ ทุ่นมันจมๆลอยๆ ก็เอาเลย ตวัดขวับเข้าให้ เพื่อนมันหัวเราะก๊ากเลยครับ นึกถึงตอนนั้นก็ขำตัวเองเหมือนกัน โง่จริงจังเลย 55555
หลังจากตกปลาได้มั่งไม่ได้มั่งก็ชักจะร้อน เพื่อนเขาก็ถอดเสื้อ กระโดดตูมลงไปในลำห้วยตรงนั้นนั่นเอง ลอยคอไปมาอย่างสบายตัว ไอ้ผมก็นั่งกอดเข่ามองเขาตาปริบๆ ก็ว่ายน้ำไม่เป็นอะครับ
แล้วเพื่อนก็ชวนลงน้ำ เขาบอกให้โดดลงมาเลยตรงริมฝั่งน้ำไม่ลึก แค่เอว แค่หน้าอกเอง ไม่จมแน่นอน ถามเพื่อความแน่ใจอีกหลายรอบ ก็ทนไม่ไหวแล้วครับเพราะอากาศมันเป็นใจเหลือเกิน คือ ร้อนมากกกกกก พอโดดลงไปก็อย่างที่เพื่อนว่าไว้ ยืนบนพื้นใต้น้ำได้ เป็นเลนนิดนึงแล้วก็เป็นดินเหนียวหน่อยๆ ยืนได้สบาย และหลังจากนั้นเขาก็สอนให้ผมว่ายน้ำเป็นในครั้งแรกที่ลงน้ำอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง
และการลงน้ำในครั้งนั้นทำให้ผมได้พบกับอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากโลกบนบกอย่างสิ้นเชิงด้วยน้ำในลำห้วยในหน้าร้อน น้ำนิ่งไม่ไหล และใสมากๆเมื่อหัวมุดน้ำลงไป แม้จะเห็นแบบมัวหน่อยๆ แต่ก็รู้ว่า มันสวยงามมากจริงๆ มีสาหร่ายหางกระรอก มีปลาตัวเล็กๆว่ายไปมา ก็ดำผุดดำว่ายอยู่จนตัวเปื่อยนั่นและครับถึงได้ขึ้นจากน้ำ เล่นน้ำซะนานก็เริ่มหิวละทีนี้ เพื่อนมันก็พาย่องมาริมรั้ว สวนใครก็ไม่รู้ อยู่ใกล้ลำห้วยตรงนั้นแหละครับเดินไม่ถึงสิบก้าว แล้วเพื่อนผู้แสนดี ก็ขว้าหนังกะติ๊กออกมาจากย่ามพร้อมก้อนหินลูกรังสีส้มๆขาวๆขนาดกำลังดี ยิงตัดขั้วมะขามหวาน หล่นลงมาหลายฝักอยู่ เสียลูกกระสุนไปสิบกว่าลูก ปีนรั้วไปเก็บมานั่งกิน อร่อยกันไปพอหอมปากหอมคอ
หลังจากคบกันได้ไม่นานถึงได้รู้ว่า นอกจากจะอยู่โรงเรียนเดียวกันและชั้นเดียวกันแล้ว ท่านตาของเราทังสองคนก็ยังเป็นเสี่ยว หรือเป็นเพื่อนซี้กันอีกต่างหาก สังคมบ้านนอกมันแคบนิดเดียวเอง หลังจากนั้น ทุกวันหยุดหรือตอนเย็นหลังเลิกเรียน เพื่อนคนนี้ก็เป็นครูดีๆนี่เอง ที่สอนอะไรหลายๆอย่างให้ผม เรียกได้ว่า ถ้าหลงป่ายังไงก็รอดแน่ๆ ทำเบ็ดตกปลา ทำหนังกติ๊ก ตีผึง วิดปลา สร้างกระท่อมน้อยๆ ฯลฯ มันเป็นความสุขสนุกสนานในวัยเด็กของเด็กบ้านนอกอย่างผมตลอดหลายปีที่อยู่ที่นั่น
ปัจจุบันเพื่อท่านนี้ได้จากไปหลายสิบปีแล้ว โดยที่ผมไม่ได้มีโอกาสบอกลาหรือไปงานของเพื่อนเลย มารู้เอาทีหลังหลายปี ขอบใจมากๆเพื่อน เขาชื่อ สุดใจ พิพิธกุล ครับ
นั่นคืออดีตบางส่วนที่ผ่านมาในวัยเด็กประถมเกือบห้าสิบปีมาแล้วครับ หลังจากว่ายน้ำเป็นและแข็งขึ้นเรื่อยตามประสบกาณ์และอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะครับ ไปได้ทุกที่ที่มีน้ำ จะตื้นจะลึกขนาดไหนก็ไม่เคยถอย และก็ดีใจมากที่ครั้งหนึ่งได้ช่วยเพื่อนจากการจมน้ำได้ รู้สึกว่าจะเคยเล่าไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน พอเข้ามาเรียนใน กทม ก็ลงแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วครับสนุกมาก แต่ก็อันตรายมากเหมือนกัน ขอโม้หน่อยละกัน แม่น้ำเจ้าพระยานี่ ผมกับเพื่ออีกหลายคน ว่ายข้ามมาแล้วนะครับ ตอนอยู่ ม.ศ. สาม ระหว่างใกล้กับท่ายมราช ไปขึ้นท่าเรือวัดระฆังฯ แต่ขากลับ แฮะๆ...... เกาะเรือข้ามฟากกลับมาลงน้ำก่อนเที่ยบท่าช้าง ใส่กางเกงนักเรียนขาสั้นนี่แหละครับ ทั้งสนุก ทั้งตื่นเต้นมากๆ เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวในชีวิตจริงๆที่ทำไปได้ขนาดนั้น ด้วยความคึกคนองแท้ๆ ไม่จมน้ำตายก็บุญแล้วครับ
แต่โลกใต้น้ำที่สวยงามจริงๆ ผมมาเห็นได้เต็มตาก็เมื่อทำงานแล้วมีเงินซื้อแว่นดำน้ำนั่นแหละครับ ภาพใต้น้ำที่เห็นก็เหมือนเราดูปลาที่เขาเลี้ยงไว้ในตู้นั่นเอง แต่มันเป็นภาพที่อยู่รอบๆตัวเรา หันไปทางไหนก็เจอ แม้แต่ก้อนหินธรรมดา ยังดูสวยเลยครับเมื่อมันอยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะน้ำจืดหรือน้ำเค็ม ผมเคยลงไปในบ่อน้ำในสวนของเพื่อน กว้างยาวประมาณ 2x2 เมตร แต่ลึกประมาณสามเมตรกว่าๆ น้ำใสเป็นกระจกมองลงไปเห็นพันธุ์ไม้น้ำหลายชนิด ก็เลยลงไปดูแบบไม่มีแว่น มันสวยมากจริงๆครับ เพ่งด้วยตาเปล่าๆนี่แหละครับ ชัดเจนมาก แต่ดูได้ไม่นานเพราะแสบตา ดำน้ำดูจนเพลิน ขึ้นมาตาแดงก่ำเลย
แล้วจะพลาดการดำน้ำในทะเลได้ไงจริงไหมครับ ไปเที่ยวทะเลทีไรผมก็เอาแว่นดำน้ำไปด้วยซะส่วนใหญ่ เพลิดเพลินอยู่คนเดียวไม่สนอะไรเท่าไหร่นอกจากสาวๆชาวฝรั่งที่ว่ายน้ำอยู่ใกล้เท่านั้น อิอิ
ผมก็จัดอยู่ในประเภทดำน้ำตื้นเท่านั้นครับ ระดับที่ลงไปลึกที่สุดนี่ในทะเลก็ไม่น่าจะเกินห้าเมตร แต่น้อยครั้งมากจริงๆ ส่วนใหญ่ก็ป้วนเปี้ยนแถวๆชายฝั่งนั่นแหละ ตามโขด ตามซอกหิน มีอะไรให้ดูเยอะแยะไปหมด ลงไปทีไรก็ไม่เบื่อซักที ประการังชนิดต่างๆ ปลาหน้าตาสีสันแปลกๆเต็มไปหมด
เคยคิดที่จะไปเรียนดำน้ำเหมือนกัน แต่ ทุนน้อยไปหน่อย....ไม่หน่อยล่ะครับเยอะเลย อาศัยอ่านหนังสือเอาตามร้าน ซึ่งในสมัยนั้นก็มีน้อยมากจริงๆ เลยยังไม่รู้ถึงอันตรายต่างๆในการดำน้ำ ที่บางกรณี อาจจะทำให้เราเสียชีวิตได้ง่ายๆ แม้น้ำจะไม่ลึกมากก็ตาม
ในปี พ.ศ. 2536 ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นผู้สังเกตุการณ์ในการกู้เรือสินค้า ขนาดยาว 45 เมตร จมอยู่ท้ายเกาะกูดห่างไป 30 กิโลเมตร ที่ระดับความลึก 50 กว่าเมตร สาเหตุที่ต้องไปเพราะ เรือลำนี้เป็นเรือหนึ่งในสองลำในขนาดเดียวกันแบบเดียวกันที่ผมมีส่วนในการเขียนแบบและดูงานต่อสร้างตั้งแต่วางกระดูกงูจนปล่อยลงน้ำนั่นเอง (ผมทำบทความลงไแล้ว น่าจะชื่อว่า เรือบบรรทุกซุง..มั้งครับ ลองไปค้นดูในกล่องบทความครับ)
โอ๊ะโอ ตีสามครึ่งละ มิน่ามึนๆจัง ไว้้ต่อพรุ่งนี้ละกันครับ ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน
3:39 น.
............................................................................................................................