29 พฤศจิกายน 2566 1:48 น. สวัสดีครับทุกท่าน มาพบกันหลังเที่ยงคืนอีกแล้วครับ เมื่อวานเป็นวันลอยกระทง เป็นประเพณีของพวกเราชาวไทยมาอย่างนาน ผมว่าเท่าที่จำได้ตั้งแต่เด็กๆก็ไม่เคยได้ยินว่ามีวันวาเลนไทน์นะครับ แต่ได้รู้จักวันลอยกระทงมาตั้งแต่จำความได้แล้ว
วันลอยกระทงสำหรับหนุ่มสาวสมัยผมตอนเป็นวัยรุ่น อายุ 14-15 ปี เปรียบได้กับวันแห่งความรักเลยก็ว่าได้ เพราะว่าอยู่ที่ไหนในประเทศไทยก็จัดงานนี้กันทั้งนั้น แม้บางพื้นที่จะไม่มีแม่น้ำหรือห้วย หนองคลองบึง อยู่เลยก็ตาม แต่ก็จะมีสระน้ำหรือแอ่งน้ำประจำหมู่บ้านหรืออยู่ที่หมู่บ้านใกล้เคียง เป็นวันที่หนุ่มๆสาวๆได้ออกมาเจอหน้ากันยามค่ำคืนท่ามกลางแสงจันทร์และแสงจากเปลวเทียวที่ล่องลอยอยู่ในน้ำ บางคนก็สมหวัง บางก็มาเป็นคู่ บางคนก็มากับเพื่อนเป็นฝูง ทั้งฝูงของหนุ่มๆและสาวๆ มาเจอกันก็เฮฮากันไป แม้ว่าส่วนใหญ่ที่เจอกันก็รู้จักและเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันอยู่แล้วก็ตาม แต่อารมณ์มันคนละเรื่องกับตอนที่เจอกันในโรงเรียนเลยครับ ในต่างจังหวัด พื้นที่ที่ผมเรียนอยู่ก็มีอยู่ไม่กี่โรงเรียนส่วนใหญ่ก็รู้จักหรืออย่างน้อยก็เคยเห็นหน้าเห็นตากันมาแล้วทั้งนั้น แต่ในคืนวันลอยกระทงมันพิเศษไปกว่าทุกวันที่ได้พบเจอ ต่างมีความสนุกสนาน ยินดีที่ได้พบปะเจอ ได้มองพลุอยู่ด้วยกันหลายๆคน
กระทงในสมัยเมื่อเกือบห้าสิบปีที่แล้ว เท่าที่ผมเห็นและจำได้ มีแต่กระทงที่ทำกันเองทั้งนั้น ต้นกล้วยนี่ราบเป็นสวนเลยก็ว่าได้ มีแต่กระทงที่ทำจากต้นกล้วยทั้งนั้น สมัยนั้นโฟมยังแพงมาก แต่ละคนก็ใส่ฝีมือกันเต็มที่ บ้านใครมีดอกไม้ก็หายหมดครับ โดนทั้งมือดีและมือไม่ดีขอไปใช้ประดับกระทงกันหมด และเป็นธรรมดา จัดงานก็ต้องมี ดนตรี ลำวง หมอลำ หรือลูกทุ่งดังๆมาล้อมผ้ามาเก็บค่าบัตรเข้าชม เป็นที่สนุกสนานกันไป ตีกันก็ต้องมีอยู่แล้วครับเหมือนสมัยนี้นั่นแหละไม่ต่างกันเลย แต่พองานเลิก ทุกอย่างก็จบลงตรงนั้น ทุกคนไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ก็รีบกลับบ้านใครบ้านมัน เพราะยุคนั้นไม่มีที่ให้ไปต่อ และรถก็มีน้อย กระบะคันนึงมากันเป็นสิบ รถสองแถวก็มากันทั้งหมู่บ้าน ใครตกรถก็ซวยแน่ๆ เพราะไม่รู้จะกลับบ้านยังไง รถรับจ้างก็ไม่มี เด็กแว้นมีไหม มีครับแต่ไม่มาก กลุ่มนึงก็สี่ห้าคัน มีแทบนับคันได้และพอเห็นรถก็รู้ว่าใคร ก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องสักเท่าไหร่ มีไม่เยอะเท่าทุกวันนี้ เพราะสมัยนั้นมอไซด์มันก็แพงอยู่ส่วนใหญ่ใช้จักรยานกันทั้งนั้น ส่วนผมกับเพื่อนก็เดินครับ ง่ายดี ตอนไปนี่อย่างครึกครื้นเลย แต่ตอนกลับมันแบบว่าทั้งมืด ทั้งเหนื่อยกว่าจะถึงบ้าน สนุกดีครับ
เมื่อเวลาผ่านไป กระทงที่ทำด้วยโฟมก็เข้ามาแทนที่เพราะราคาถูกลง มีคนทำหรือไปรับมาขาย หาซื้อง่าย กระทงที่ทำด้วยโฟม เฟื่องฟูอยู่หลายสิบปีก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเนื่องจากโฟมมันสลายตัวได้ช้ามากๆเป็นร้อยปีสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมมาก กำจัดก็ยากถึงแม้จะเก็บขึ้นมาง่ายก็ตาม
หลายปีที่ผ่านมามีความพยายามที่จะหาวัสดุมาทำกระทงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างหลากหลาย บางคนก็หันไปใช้ต้นกล้วยเหมือนเดิม บ้างก็ใช้ขนมปัง ฯ แต่ธูปกับเทียนและอื่นๆที่ใส่ลงไปในกระทงบางอย่างก็ยังเป็นปัญหาอยู่ แม้แต่ต้นกล้วยเองก็ไม่ใช่ว่าจะย่อยสลายได้ง่ายๆ อาจจะเน่าก่อนก็ได้และที่สำคัญ จำนวน ครับ เรียกได้ว่ามหาศาลมากจริงๆ เฉพาะใน กทม ที่เก็บขึ้นมาได้ก็มีน้ำหนักรวมกันหลายตัน อาจจะเป็นสิบ หรือถึงร้อยตันด้วยซ้ำไป ลองนึกภาพกระทงที่ทำด้วยต้นกล้วย เวลามันเน่าพร้อมๆกันจะเป็นอย่างไรครับ ธูปอีก สีแดงที่ย้อมก้านธูปมันจะไปไหน เทียนอีกนับไม่ถ้วน มันลอยน้ำแน่ๆแต่จะเก็บมันขึ้นมาได้หมดหรือแล้วมันจะไปไหนล่ะครับทีนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับ
ความสมบูรณ์แบบไม่มีในโลกครับ ก็ต้องพัฒนากันไป ผมเองมานั่งคิดดูว่า ถ้าเอาดินหรือดินเหนียวมาทำกระทง มันจะได้ไหม ทำล่วงหน้าสักสองหรือสามวันแล้วตากแดดให้แห้ง พอเอาไปลอยน้ำแล้วมันก็จะค่อยๆสลายตัวไปเองอะไรประมาณนั้น ส่วนธูปกับเทียนนี่ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรแทน กะว่าปีหน้าถ้าผมยังอยู่ก็จะลองทำดูแล้วเอาไปลอยในแม่น้ำเจ้าพระยาน่าจะดี
วันนี้มาระลึกถึงวันเก่าๆเท่านั้นครับ คนแก่ก็มีแค่นี้เอง อนาคตไม่ฝันถึง ปัจจุบันก็ประคองตัวให้รอด ส่วนอดีตถ้าไม่ลืมก็จะมาเล่าให้คนรุ่นหลังได้รับรู้กันก็เท่านั้นเอง
ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดีกันถ้วนหน้า
2:50 น.
...........................................................................................................................