20 เมษายน 2566 1:08 น. มาตอนดึกๆอีกแล้วครับ สวัสดีครับทุกท่าน ช่วงนี้ไม่มีเรื่องเรือเลยสักลำ เพราะมันคิดไม่ออก ความจริงมันมีเยอะมากหลายเรื่องจริงๆ ภายในเรือ มันประกอบด้วยระบบต่างๆมากมาย สร้างบ้านหลังนึงยังคิดน้อยกว่าต่อเรือหนึ่งลำเลยครับ เพราะในบ้านมีอะไร ในเรือก็มีเหมือนกันแถมบางอย่างยังต้องมีสำรองอีกต่างหาก แต่ไม่ได้หมายความว่าคนต่อเรือ ออกแบบเรือจะเก่งกว่าคนออกแบบบ้านหรือคนสร้างบ้านนะครับ มันคนละเรื่องกัน เอามาเปรียบเที่ยบกันในเชิงคุณภาพไม่ได้เลย เอาคนออกแบบเรือไปออกแบบบ้านรับรองเจ๊งแน่เพราะบ้านจะแพงมาก แต่ก็แข็งแรงเกินความจำเป็นและวัสดุที่ใช้ก็คนละเรื่องกันเลยทีเดียว แต่ในเรื่องความสวยงามคนออกแบบบ้านจะได้เปรียบมากกว่าเยอะ ก็เพียงแค่จะบอกว่า ทางใครทางมันนั่นเองครับ พี่ชายผมที่เสียไปเขาก็เป็นสถาปนิก เขาก็บอกว่า ถ้าให้ออกแบบเรือเขาทำไม่ได้เพราะ มันมีตัวแปรที่เขาไม่รู้จักเยอะมาก ส่วนเจ้านายผมเขาก็บอกว่าเราไม่ถนัดในการออกแบบอะไที่มันสวยๆงามๆสักเท่าไร เพราะไม่รู้จักโครงสร้างทางศิลปเลย เช่นสัดส่วนต่างๆของเครื่องมือเครื่องใช้ภายในบ้าน หรือแม้แต่ขนาดของสัดส่วนที่จะสร้างความสวยงามของสิ่งต่างแกก็ไม่รู้เหมือกัน อะไรประมาณนั้นครับ แต่ฝรั่งเขาเอาคนสองประเภทนี้มาทำงานร่วมกันนานแล้วครับอย่างน้อยๆก็พวกออกแบบตกแต่งภายในมาร่วมงานกับ ผู้ออกแบบเรือ จนปัจจุบันนี้การออกแบบเรือกลายเป็นงานศิปที่ต้องใช้คนแยกต่างหากจากวิศวกรผู้ออกแบบเรือไปแล้ว อย่างที่ผมเคยบอกไปตอนที่เริ่มทำเวปนี้ใหม่ๆเมื่อหลายปีก่อน จินตนาการจะเหนือกว่าหรือต่ำกว่าความรู้ก็ตามแต่ก็ขอให้มีมากๆเข้าไว้ในการออกแบบและเขียนแบบเรือจำลอง เพราะมันจะเปิดประตูใหม่ๆเสมอเมื่อเราใช้จินตนาการ ส่วนความเป็นจริงจะได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ กำลังกาย และที่สำคัญคือ เงิน ครับ หรืออย่างน้อยๆมีเงินเยอะๆเข้าไว้ก็ยังพอที่จะได้งานในจินตนาการของเราได้เช่นกัน
วันนี้ไหนๆก็กล่าวถึงเรื่องจินตนาการแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกันผมจะพาทุกท่านที่เข้ามาไปชมหนังอินเดียกัน......
อ้อ เรียนให้ทราบกันตรงนี้ก่อนนะครับ ผมไม่ใช่สายมูและจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยในทุกกรณี ท่านใดที่เห็นต่างจากผมจะออกไปตอนนี้ก็ยังทันนะครับ
อ่านไม่ผิดครับ หนังอินเดีย จากประเทศอินเดียนี่แหละครับ เอ่ยชื่อออกไปหลายท่านร้องอ๋อแน่นอน ก็ดูเหมือนว่าเรื่องราวก็พอจะต่อจากบทความตอนที่แล้วได้อยู่เหมือนกันครับ คือเมื่อคนเรา อกหัก สิ้นหวังในบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว คนส่วนหนึ่งหรืออาจจะส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ก็จะเริ่มไขว่ขว้าหาความมั่นใจและความน่าจะเป็นจาก "สิงศักดิ์สิทธิ์" ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นหมอดูทั้งที่เป็นพระสงฆ์หรือเป็นคนธรรมดา ฤษี หมอทำเสน่ห์ ฯลฯ ตรงไหนใครว่าดีก็ไปหมดนั่นแหละเพื่อหวังว่าบุคคลอันเป็นที่รักจะหันกลับมาสู่อ้อมกอดของตนในเร็ววัน และส่วนใหญ่ผมบอกได้เลยครับว่า "ไม่มีทาง" แล้วก็จะผิดหวังหนักเข้าไปอีก บางรายเสียเงินมากมาย บางรายซวยกว่านั้นอีก เสียทั้งเงินและเสียทั้งตัว หรือร้ายแรงกว่านั้นกลายเป็นทาสของเหล่าบันดาผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษเหล่านั้นที่จะคอยเบล็คเมล์ด้วยรูปภาพ หรือคลิปที่แอบถ่ายเอาไว้ตอนทำพิธีต่างๆนาๆ
ใจเราไม่มีใครมาช่วยเราได้หรอกครับมีแต่ตัวเราเองเท่านั้น กลับบ้านครับ กลับไปหาครอบครัวเรา อาจจะมีอยู่บ้างที่บางครอบครัวไม่ได้สนใจกันเลย แต่ก็ยังดีกว่าไปที่อื่นให้คนข้างนอกบ้านมาทำร้ายเรานะครับ แหมเลื้อยมาซะไกลเลยไหนว่าจะพาไปดูหนัง ตามมาครับ
หนังเรื่องนี้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า PK ในเรื่องแปลว่าชายขี้เมาประมาณนั้นครับ ผมว่าหลายๆท่านต้องได้ดูมาแล้วอย่างแน่นอน และถ้าท่านใดได้ดูแล้ว ผมเชื่อได้เลยว่า จะต้องดูซ้ำอย่างแน่นอน ผมเอง เบื่อๆขึ้นมาก็หาเปิดดูซะที กี่รอบก็จำไม่ได้แล้วครับ ผมจะไม่เล่ารายละเอียดของหนังนะครับ แต่จะพยายามบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร มายังไงไปยังไง จะง่ายนกว่า เพราะผมก็จำไม่ได้ทั้งเรื่องแน่นอน
แล้วก็แน่นอนว่า หนังทุกเรื่องต้องมีพระเอกและนางเอกเปิดเรื่องมาก็เจอกับมนุษย์ต่างดาวบุกโลก ไม่ใช่ครับ มาสำรวจโลกแถวๆชนบทของอินเดีย ถูกส่งลงมาคนเดียวเสื้อผ้าก็ไม่ใส่มีแต่สร้อยคออันใหญ่ที่เป็นรีโมทเอาไว้เรียกยานกลับมารับกลับ ทั้งตัวมีแค่นั้น พอฝุ่นจางลงก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางที่ราบอันแห้งแล้งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ไม่ไกลกันนักก็มีคนแก่เลี้ยงวัว เดินอยู่ริมทางรถไฟสายเดียวที่พาดผ่านกลางที่ราบอันเวิ้งว้างนี้ ต่างคนต่างมองกันแล้วผู่มาเยือนก็เดินเข้าไปหาคนเลี้ยงวัวเหมือนกับว่าจะถามทางไปไหนซักที่ แต่เมื่อเข้าไปใกล้กัน คนเลี้ยงวัวก็ได้เห็นสร้อยคอันใหญ่ที่แสงสวยงานที่ห้อยอยู่บนคอของผู้มาเยือน เขาจ้องมันอย่างไม่กระพริบตา และแล้วไม่พูดอะไรสักคำก็คว้าสร้อยคอแล้วกระชากจนขาดหลุดมือวิ่งหนีขึ้นรถไฟที่บังเอิญผ่านมาพอดี หนีไปได้อย่างหวุดหวิดและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดครับ ตอนดูครั้งแรกดูมาถึงตอนนี้ผมก็จะปิดหนีไปดูอย่างอื่นแล้ว พอดีภาพตัดไปที่นางเอก ขอบอกว่าเธอสวยมาก หลายๆท่านที่ได้ดูก็คงมีความเห็นเดียวกันกับผมแน่นอน 5555555555
และเรื่องก็เดินต่อไป นางเอก ไปพบกับว่าที่แฟน นู่นนี่นั่น แต่แฟนเป็นคน ปากีสถาน เป็นอิสลาม บ้านนางเอกไม่ยอมก็เลยไปถาม "เจ้าสำนัก หรือ อาจารย์" ที่นับถือ ประมาณนั้น อาจารย์บอกว่าคู่นี้เลิกกันแน่ไม่ต้องห่วง พ่อก็บอกให้ลูกสาวคุยกับอาจารารย์ทางวิโอคอล ลูกสาวก็ดื้อไม่ฟังละ แล้วก็นัดแฟนไปแต่งงานทั้งสองตกลงจะแต่งกันในโบสถ์(ได้ไงฟะ)พอถึงวันแต่งมีการเข้าใจผิด แฟนมาช้า แล้วดันมีเด็กมาส่งจดหมายน้อยอีกว่า ไม่แต่งละ ประมาณนั้น เศร้าเลย แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันไม่ได้เจอกันอีกเลย กลับมาที่อินเดีย เริ่มฮาละครับ มนุษย์ต่างดาวของเราเริ่ม เรียนรู้นิสัยชาวโลกละ สนุกมากต้องไปดูเองครับ และระหว่างนั้นก็เที่ยวตามหารีโมทไปด้วย เจอใครก็ถามว่าเห็นรีโมทไหม คนที่ถูกถามก็บอกว่าให้ไปถาม "พระเจ้า" เพราะท่านรู้ทุกอย่าง อะๆ อย่าสงสัยว่าเขาใส่กางเกงหรือเปล่า ใส่ครับ แต่วิธีที่ได้มามันสนุกมากจริงๆ จากเดิมพูดภาษาคนไม่ได้ก็พูดได้ด้วยวิธีพิเศษ เที่ยวถามไปเรื่อย แต่คำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิมคือ ไปถาม พระเจ้า ท่านรู้ทุกเรื่อง ถามไปถามมาจนกระทั่งมาถึงเมืองหลวงก็เที่ยวถามไปทั่ว ไปเข้านิกายนั้น ออกนิกายนี้ ไปเป็นครสเตียนมั่ง ไปเป็นอิสลามมั่ง ไปเป็นสาวกสารพัดลัทธิเพื่อจะถามพระเจ้าของลัทธินั้นๆว่า รีโมทของเขาอยู่ไหน ตอนนี้ก็สนุกมากครับ จนกระทั่งทั่วทั้งตัวมีเครื่องลางของชลังและยันต์เต็มตัว และก็ต้องใส่หมวกกันน๊อคสีเหลืองด้วย เพื่อให้พระเจ้าเห็นง่ายๆ แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบจากพระเจ้าเลยแม้แต่องค์เดียว จนมีอยู่วันนึงไปแจกแผ่นพับให้คนบนรถไฟฟ้า ก็ไปเจอนางเอกของเราที่ทำงานเป็นนักข่าวของทีวีช่องดัง สนุกมากครับขอบอกต้องไปดูเองดีกว่า เรื่องนำเสนอได้อย่างน่าสนใจจริงๆ ดูสบายๆไม่เครียด แต่หลายคนที่เป็นสายมูคงเครียดแน่ๆถ้าหลวมตัวมาดูเรื่องนี้ เช่น
มนุษย์ต่างดาวบอกว่าจะทำอะไรให้ดู ขอให้นางเอกเอากล้องและทีมงานรวมทั้งพ่อนางเอกที่เชื่ออาจารญ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ตามเขามาที่หน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่วันนี้จะมีการสอบครั้งสำคัญของนักศึกษา เมื่อมาถึง เขาก็บอกว่าคอยถ่ายเขาให้ดีๆ แล้วเขาก็เดินลงรถไปคนเดียว ไปที่ทางเข้าหน้าประตูของมหาวิทยาลัยนั้น มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นนึง และมีก้อนหินใหญ่ๆอยู่ก้อนนึงใต้ต้นไม้นั้น เขาก็เอาก้อนหินเล็กๆอีกก้อนนึงขึ้นมาวางตั้งไว้บนก้อนหินใหญ่ใต้ต้นไม้นั้นอีกทีแล้วเอาน้ำหมากที่เขาเขี้ยวอยู่มาป้ายลงบนก้อนหินเล็กๆนั้น และขั้นตอนสุดท้ายเขาก็โยนเหรียญเงินลงไปสอง สามเหรียญ หลังจากนั้นก็กลับมาขึ้นรถบอกว่าคอยถ่ายไปที่ก้อนหินนั้นดีๆ ไม่นานก็เริ่มมีนักศึกษาที่เดินจะเข้ามหาวิทยาลัยแวะมาไหว้มั่ง กราบมั่ง บางคนก็วางเงินให้ด้วยก่อนจะกราบขอพร แล้วแถวก็เริ่มยาวขึ้น เงินบนก้อนหินก็เริ่มมากขึ้น ฯ............
ที่ผมเอาเรื่องนี้มาบอกกันก็เพราะว่า ต้องยอมรับตรงๆว่า ผมเองได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่ "ถูกพาไป" ทำอะไรอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ถามกันซักคำว่าอยากไปไหม แรกๆก็อยู่นอกวงหลังๆนี่หนักเลยโดนดันเข้าไปร่วมวงด้วยอย่างหลีกหนีไม่ได้ สารพัดอาจารย์ดังๆ สมัยนั้น พอโตมาทำงานแล้วนึกว่าจะพ้น กลับมาเจอหนักกว่าเก่าอีก จนต้องออกคัวว่า ไม่ต้องมาชวนนะครับไม่เข้าร่วมทุกกรณี ให้ไปเป็นเพื่อนอะได้ แต่ไม่ขึ้น ไม่เข้าไปทำอะไรทั้งนั้น แล้วไม่ต้องมาทักด้วยว่า เพราะเอ็ง เพราะมึง เพราะคุณ ไม่เข้าไปทำ เลยไม่สำเร็จ ไม่ทุกกรณี ฯ หลายๆงานนี่เรียกได้ว่าหวาดเสียว กลัวเก็บอาการไม่อยู่ เดี๋ยวจะไปพังสำนักเขาเข้าให้ ไม่จริงๆครับ ใครจะบอกว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ผมก็จะบอกว่า อย่ามายุ่งกะผม อย่ามาทักโน่นนี่นั่น ทักมาทักกลับไม่โกงนะครับขอบอก อย่าหลงทางกันเลยครับ เราชาวไทยแรกเกิดก็นับถือศาสนาพุทธกันอยู่แล้ว จะเรียนรู้เรื่องศาสนาที่เรานับถือให้รู้มากกว่าตอนที่เราเกิดไม่ได้เลยหรือครับ พุทธ ท่านก็ไม่ได้สอนยากเย็นอะไรเลย เงินก็ไม่ต้องเสีย มีแต่เรื่องดีๆให้ทำ ตามที่ท่านสอนไว้ แค่นั้นยังไม่พอกันอีกหรือครับ
วันนี้ชวนมาดูหนังไหงกลับมาดุเอาตอนท้ายๆก็ไม่รู้ คงเก็บกดมานานมั้งครับ ไม่ถูกใจใครก็ขออภัยด้วยครับ
ค่ำคืนนี้ก็ขอกล่าวราตรีสวัสดิ์ทุกท่านแต่เพียงเท่านี้ครับ ขอให้ทุกท่านนอนหลับสบายกายสบายใจครับ
3:05 น.