18 กุมภาพันธ์ 2566 21:40 น. สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้มาแบบมึนๆ
ครับ ไม่รู้จะพิมพ์อะไรดี หลายวันก่อนได้อ่าน การ์ตูนเรื่อง AREA88 ในเวป
อะไรสักอย่าง เป็นไฟล์ pdf มีตั้ง สี่พันกว่าหน้า นั่งอ่านเพลินไปหน่อย ดู
เวลาอีกที ผ่านไปตั้งหลายชั่วโมง สายตาล้าไปหมด เลยเลิกอ่าน ไปนอน
ดีกว่า กะว่าตื่นมาจะมาอ่านต่อ จนวันนี้ก็ยังไม่ได้อ่านต่อเพราะหาไม่เจอ
แล้วครับ ไม่รู้วันนั้นฟลุคอะไรมาอ่านซะเพลินเลย ก็สนุกดีครับ ลายเส้น
แบบเดิมๆคุ้นตามาก บางคนอาจจะมองว่าไม่สวย ก็ใช่แหละครับ แต่มันก็
สามารถพาเราโลดแล่นไปกับตัวละครได้แบบไม่เบื่อเหมือน(สำหรับผม)
ย้อนกลับมาอ่านรอบนี้ ทำให้เข้าใจการ์ตูนและผู้เขียนเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
ไปอีก ผมว่ามันเหมาะสำหรับใช้เป็น บทเรียน หรือต้นแบบ ในการดำเนิน
เรื่องของมือใหม่หัดเขียนนิยายได้อย่างดีเลยทีเดียว และผมก็มีแวปๆเข้า
มาเหมือนกันว่า จะลองหัดเขียน นิยาย หรือ นิทาน สักเรื่อง ความจริงเมื่อ
หลายสิบปีก่อน ผมก็ลองเขียนเรื่องสั้นไปหนึ่งเรื่อง แต่ไม่ได้ส่งให้ใคร เอา
ไว้อ่านเองคนเดียว เพราะช่วงนั้นหนังสือการ์ตูน ขายหัวเราะฉบับพ๊อคเก๊ต
บุ๊คราคาเล่มละสิบบาท กำลังเป็นที่นิยม มี พี่นิค พี่ต่าย ฯ เป็นคนเขียนทั้ง
ตัวการ์ตูนและเรื่องสั้น และมีการรับเรื่องสั้นจากทางบ้านให้ส่งไปถ้าได้ลง
ก็จะได้เงินด้วยประมาณนั้น เลยลองดู แต่ จัดว่า ไม่ได้เรื่องเลยครับ........
ยอมรับว่ามือไม่ถึงจริงๆ
มาถึงวันนี้ผ่านมาหลายสิบปี ผมจำเรื่องสั้นในขายหัวเราะได้สองเรื่อง
เองครับ แต่ไม่ได้จำได้แบบละเอียดทุกบรรทัดอะไรแบบนั้น จำได้แบบ
เรื่องมันมาไง ไปไง จบยังไง อะไรประมาณนั้นครับ ถ้าจะให้เล่าก็น่าจะได้
อยู่ อะฮ่า....อยากเล่า อยากเล่าครับ พอดีกับที่ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรอยู่
พอดีเอาเรื่องสั้นใน ขายหัวเราะเมื่อหลายสิบปีก่อนมาเล่านี่คงไม่โดนฟ้อง
นะครับ ถือซะว่าเป็นการรีวิวหรือสปอยก็แล้วกันครับ เรื่องมีอยู่ว่า........
ย้อนกลับไปในสมัยอยุธยาตอนต้น ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง อยู่ห่างจากตัว
เมืองไปทางทิศตะวันตกพอสมควร ในตลาดยามเช้า ที่ผู้คนกำลังทำกิจวัต
ประจำวันกันอย่างคึกคักมาก ใครมีอะไรมาขายก็ขาย ใครมาซื้ออะไรก็ซื้อ
เสียงพูดคุย ต่อรองราคา แลกเปลี่ยนหมูไปไก่มา ดังอยู่เป็นระยะ เสียงแม่
ค้าร้องเรียกลูกค้า ดังไม่ขาด จัดว่าเป็นหมู่บ้านที่ใหญพอสมควร แม้จะจัด
ว่าเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในชนบท มีวัดใหญ่ มีตลาดยามเช้าที่ผู้คนหนาแน่น ถ้า
เปรียบเป็นสมัยนี้ก็ประมาณ ตลาดประจำอำเภอนั่นแหละครับ(อันนี้ผมเติม
เองครับ แฮะๆ) ในวัดก็โรงเรียน สอนโดยพระครูรูปหนึ่ง ท่านเหมาหมดทุก
วิชา ตั้งแต่อ่าน เขียน และไปจบด้วย วิชาฟันดาบ
ในเช้าอันสดใสประกอปกับเสียงของการดำเนินชีวิตของผู้คน ที่ตลาด
แห่งนี้ อยู่ๆๆก็มีเสียงดาบประทะกันดังแว่วมาจากท้ายตลาด พลันสายตา
ทุกคู่ก็หันไปทางเสียงนั้นพร้อมกับทำหน้า เอือมระอา แล้วสักพักจากตลาด
เช้าที่คึกคักไปด้วยผู้คนและเสียงของการซื้อขาย ก็ต้องเงียบลง และกลาย
เป็นเเสีบงบ่น บางคนก็ ตะโกนด่าออกไปในขณะที่ต่างคนต่างก็วิ่งหาที่หลบ
กันให้วุ่นวายไปหมดเพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานจะเกิดอะไรขึ้น
เสียงดาบที่ปะทะกันก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมองเห็น ชายหนุ่ม
สองคนกำลังต้อสู้กันด้วย ดาบคู่ ในมือของทั้งสอง ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ
ท่วงท่าสง่างามทั้งสอคน แต่ที่ชาวบ้านไม่เปลื้มก็เพราะ สมรภูมิของทั้งคู่
นั้นมันค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาในตลาด ที่ผู้คนกำลังวิ่งหาที่หลบกันวุ่นวาย
ด้วยกลัวลูกหลงจากทั้งคู่นั่นเอง "เฮ้ย เมื่อไหร่พวกเองจะเลิกสู้กันในตลาด
สักทีวะไอ้......" แล้วก็ตามด้วยเสียงอันคุ้นหูของหมู่วัยรุ่นด่าตามหลังไปเป็น
พลวน ข้าวของที่วางขายอยู่บนพื้นหรืออยู่บนโต๊ะที่โชคร้าย ก็จะถูกสอง
หนุ่มที่ร่ายรำกระบวนดาบเข้าห้ำหั่นกัน เหยีบ ชน เตะใส่กันเสียหายหมด
ผู้คนก็แหวกเป็นทางเปิดทางให้กับคู่ศึกทั้งสอง จนกระทั้งเลยออกไปทาง
หัวตลาด ตรงไปทาง วัดใหญ่ นั่นแหละทุกอย่างในตลาดจึงกลับเข้าที่เข้า
ทางเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แต่หลายๆคนก็ส่ายหัวพร้อมกับบ่นพึมพำ
อย่างหัวเสีย " ฉันว่าต้องมีใครสักคนไปบอกหลวงพ่อมั่งแล้วหละ" เสียง
ยายคนนึงที่ขายหน่อไม้พูดขึ้นมา "ใช่ๆๆๆ ฯลฯ" ตามด้วยเสียงใครต่อใคร
อีกหลายคนพูดสนับสนุนเห็นด้วยอย่างเซ็งแซ่ไปหมด สุดท้ายเรื่องทั้งหมด
ก็ถูกมอบหมายให้ ตา.....เป็นคนไปเจราจาบอกความกับท่านพระครู เรื่อง
การทำศึกกลางตลาดของทั้งสองหนุ่ม ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ทั้งสองหนุ่ม
นั่นก็คือศิษย์เอกของพระครูนั่นเอง
สองหนุ่มผู้มีนามว่าเอก เป็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มผิวไม่ขาวไม่ดำ
อยู่ในวัยเกือบยี่สิบปี เป็นลูกผู้มีอันจะกินในหมู่บ้าน มาเป็นลูกศิษย์พระครู
พร้อมกับเจ้าเดี่ยว เจ้านี่ก็ไม่ธรรมดาเป็นลูกของผู้มีอันจะกินอีกคนแต่อยู่
อีกทิศหนึ่งของหมู่บ้าน จัดว่ารวยและหล่อเข้มทั้งคู่ เป็นที่หมายปองของ
สาวๆทั้งในหมู่บ้าน ชื่อเสียงในความหล่อรวยเก่งของทั้งสองดังไปไกลถึง
หมู่บ้านอื่นๆอีกต่างหาก แต่หลังจากเรียนอ่าน เขียนกับพระครูจนอายุได้
สิบห้าปี ทั้งสองก็ได้เริ่มเรียน วิชาดาบ ในรุ่นเดียวกันมีอยู่หลายสิบคน
ถ้าเป็นทหารก็ประมาณหนึ่งกองร้อยเห็นจะได้ พอเวลาผ่านไป ทั้งร่างกาย
และจิตใจของทั้งสองหนุมน้อยก็โดดเด่นกว่าใคร ร่างกายกำยำ สูงใหญ่
ปานนักรบ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา กล้ามเนื้อแน่นไปหมด รวมทั้งฝีมือดาบ
ที่ร่ำเรียนกับพระครู ต่างก็เป็นเลิศกว่าศิษย์รุ่นเดียวกัน เหลือแค่สองคนที่
"กิน" กันไม่ลงนั่นเอง และด้วยความคันไม้คันมือ ประกอบกับแรงยุ
จากเพื่อนๆของทั้งสองฝ่าย คู่นี้ก็ได้ประลองเพลงดาบ ทั้งคู่ ทั้งเดี่ยว กันมา
นับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มีใครชนะได้อย่างเด็ด
ขาดซะที แรกๆก็ฟัดกันในวัดใหญ่นั่นแหละ แต่มาช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมานี่
สมรภูมิของทั้งสองไม่ได้อยู่แต่ในวัดอีกแล้ว มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุก
เวลาที่สองหนุ่มโคจรมาพบกัน ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน แต่ก็น่าแปลก
จะว่าทั้งสองได้ของดีมาจากพระครูทำให้หนังเหนียวก็ไม่ใช่ หรือการฟาด
ฟันกันของทั้งสองทำแบบเล่นๆ ก็ไม่ใช่อีก เพราะแต่ละครั้งที่ปะทะกัน รอบ
ๆตัวของทั้งสองนี่ เรือหายกันหมด โต๊ะ เสาหลังคา ฝาร้านค้า โรงเหล้า ฯลฯ
วายป่วงไปหมด แต่พ่อของทั้งสองก็ยิ้มแกล้มปริทุกครั้งที่มาหารค่าเสีย
หายกันเพราะทั้งสองเป็นเพื่อนเลิฟกันนั่นเอง แม้แต่เสื้อหรือกางเกงของ
สองหนุ่มก็เป็นรอยดาบแทงมั่ง ฟันมั่ง ขาดเป็นริ้ว เป็นรูอยู่ออกบ่อย พอสู้
กันเหนื่อยเข้า ไม่รู้แพ้ชนะกันสักทีก็เลิกกันไปเอง แยกย้ายกลับบ้าน พร้อม
เสื้อ กางเกงอันรุ่งริ่ง พวกเขาไม่ได้บู๊กันทุกวันก็จริง แต่ก็บ่อยมาก เจ็ดวันนี่
อย่างน้อยสุด ฟัดกันสองครั้ง แต่ก็มีบางช่วง หมอคึกอะไรก็ไม่รู้ วันละสอง
หรือสามรอบก็มี แต่ไม่มีใครหรือสิ่งมีชิวิตใดโดนคมดาบของทั้งสองเลย
แม้แต่น้อย แรกๆก็ไม่มีใครกล้ายืนดู แต่หลังๆเริ่มมีคนสังเกตุเห็นเรื่องนี้ ก็
เลยกลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับบางคนไปซะงั้น
เมื่อพระครูได้รับคำร้องเรียนจากชาวบ้านบ่อยๆเข้า แรกๆท่านก็แค่
เรียกมาตักเตือนเท่านั้น เตือนกันทีก็ห่างกันไปสักพัก ไม่ทันพ้นห้าวันเลย
เอาอีกแล้ว และก็ครั้งล่าสุดนี่แหละที่สร้างปัญหามากที่สุด เพราะสองหนุ่ม
เล่นบู๊กันผ่าตลาดยามเช้าจากท้ายตลาด ไปยันหัวตลาด เลยเข้าไปในวัด
จะเอ๋กับท่านพระครูพอดีเลยต้องเลิกและก้มกราบอย่างเด็กซนๆสองคนที่
ไปทำผิดมาพึงจะกระทำแด่พระอาจารย์ที่เคารพรัก เช้านั้นพระครูท่านก็
เทศนาซะหูชากันไปทั้งคู่ ท่านเทศไปท่านก็ยิ้มไปในมือก็ถือไม้เรียวทำจาก
ไม่ไผ่ยาวเกือบวา สองหนุ่มได้แต่นั่งพนมมือก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น จน
เสียงพระครูท่านเงียบหายไปและตัวท่าก็หายไปด้วยไม่รู้เดินไปไหน สอง
หนุ่มเมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วก็หันหน้ามามองมองตากันแบบงงๆ แล้ว
ก็ยิ้มแบบเด็กๆดีใจที่ไม่โดนหวดก้น แล้วจึงรีบลุกขึ้นวิ่งโกยแนบออกจาก
วัดไปคนละทาง เพราะทั้งสองรู้ดีว่าถ้าโดนไม้เรียวพระครูเข้าไปแค่ที่เดียว
มีหวังได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มกันแน่ๆ
หลังจากท่านพระครูได้รู้เรื่องที่ตลาดในเช้าวันนั้นกอปกับมีชาวบ้าน
มาฟ้องด้วย ท่านจึงนัดพวกชาวบ้านและให้ไปบอกเจ้าสองตัวแสบนั่นด้วย
ว่าหลังเพลแล้วให้มาที่ศาลาวัดทั้งชาวบ้านและสองหนุ่ม
เมื่อถึงเวลานัดหมาย ท่านพระครูก็นั่งอยู่บนพื้นยก สองหนุ่มก็นั่ง
ต่ำลงมาซ้ายเจ้าเดี่ยว ขวาก็เจ้าเอก ส่วนชาวบ้านที่มาก็มีจำนวนไม่น้อย
มานั่งกันอยู่เต็มศาลา และยังมีมายืนรอฟังอยู่ข้างล่างอีกเป็นจำนวนมาก
เรียกได้ว่าในวัดมีงานประจำปีอย่างไรก็อย่างนั้นเลยทีเดียว และข้างๆ
สองหนุ่มก็มีพ่อของแต่ละคนมานั่งอยู่ด้วย เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว
ท่านพระครูก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังแต่เปี่ยมไปด้วยเมตตาว่า "ว่ายังไงเอ็ง
ทั้งสองคน เมื่อไหร่จะเลิกทำลายข้าวของของชาวบ้านกันซะที"....เงี่ยบเป็น
เป่าสากทั้งคู่ นั่งก้มหน้านิ่งเหมือนเดิม ท่านพระครูก็ถอนหายใจไปหนึ่งที่
แล้วเอ่ยว่า "ถ้าพวกเอ็งไม่เลิกสู้กัน ข้าก็จะไม่รับพวกเอ็งทั้งสองคนเป็นลูก
ศิษย์อีกต่อไป" สองหนุ่มเงยหน้าโดยทันทีพร้อมกับพูดว่า "ไม่ได้นะขอรับ
ท่านอาจารย์ ได้โปรดยาไล่ข้าไปเลย"ทั้งสองหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกันเหมือน
นัดกันไว้ ในแววตามีความอ้อนวอนเหมือนเด็กน้อยทำตาละห้อย อ้อนท่าน
พระครูกันอย่างเต็มที่ "ก็ถ้าพวกเอ็งยังไม่เลิกสู้กันตามตลาด ตามถนน ให้
เป็นที่เดือดร้อนกับชาวบ้านเขาแล้วจะไม่ให้ข้าลงโทษพวกเอ็ง ก็เห็นทีจะ
เป็นศิษย์ อาจารย์กันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว" เสียงท่านพระครูเอ่ยออกมาด้วย
ความเข้มครึมกว่าครั้งแรก แสดงว่า ท่านเอาจริงแล้วทีนี้เพราะสองหนุ่มอยู่
กับท่านมานานจนรู้นิสัยท่านดีกว่าใคร ขาดอย่างเดียวก็แค่ยังไม่ได้บวช
เท่านั้นเอง ทั้งสองหันมามองหน้ากันนิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วเจ้าเอกก็พูดขึ้นว่า
"ถ้าอย่างนั้นพวกข้าสองคนขอประดาบกันอีกสักครั้งได้ไหมขอรับ" ท่าน
พระครูมองไปยังเจ้าเอกครู่หนึ่ง แล้วหันไปทางเจ้าเดี่ยว แล้วกล่าวว่า
"ได้ แค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่พวกเอ็งทั้งสองจะสู้กันนอกลานวัด" แล้วพระครู
ท่านก็หลับตานั่งนิ่งไปพักใหญ่ๆ ในศาลาก็เงียบกริบตามไปด้วยเหมือน
ไม่มีคนอยู่ ผู้คนที่รอฟังข่าวอยู่ด้านล่างก็พลอยเงียบเสียงไปด้วยเช่นกัน
เสียงลมใกล้เที่ยงพัด ใบไม้ไหวเบาๆ อากาศภายในศาลาเย็นสบาย ภายใน
วัดก็มีต้นไม้มากมายยืนให้ร่มเงาแก่ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้น......
ครู่ใหญ่พระครูท่านก็ลืมตาแล้วเรียกทั้งคู่เข้ามานั่งต่อหน้าท่านและ
เอ่ยขึ้นว่า "คืนนี้เจ้าทั้งสองคนไปประลองเชิงดาบกันได้ที่ลานกลางทุ่งนา
ท้ายหมู่บ้าน ข้าจะให้คนไปปักคบไฟไว้ให้ " กล่าวแค่นั้นแล้วท่านก็เอามือ
ลูบหัวของทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกว่า "เจ้าทั้งสองไปพักผ่อนได้
แล้ว เตรียมตัวสำหรับคืนนี้ เมื่อถึงเวลานี้.........เจ้าทั้งสองจงออกไปประ
มือกันได้ " และจงจำไว้ว่านี่จะเป็นการประมือกันนอกวัดเป็นครั้งสุดท้าย
ของเจ้าสองคน" จบคำกล่าวของท่านพระครู ทั้งสองหนุ่มรวมทั้งพ่อและ
ชาวบ้านที่อยู่บนศาลาทั้งหมดต่างก็ก้มลงกราบท่านพระครูอย่างพร้อม
เพรียงกันโดยไม่ได้นัดกันมาก่อน และหลังจากนั้นต่างก็แยกย้ายกลับไป
ทำกิจวัตประจำวันของใครของมัน พร้อมกับกระจายข่าวการประลองครั้ง
สุดท้ายของเจ้า เอก กับเจ้าเดี่ยว ไปด้วย และแน่นอน ข่าวใหญ่เช่นนี้มันก็
เดินทางไปได้ไกลและเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เวลาบ่าย ยังไม่ทันแก่เลยก็
ปรากฏว่ามีชาวบ้านที่เดินทางมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงจำนวนมาก มารอ
กันอยู่ที่วัดใหญ่ เพื่อหวังว่า เมื่อถึงเวลา...... ก็จะพากันไปดูการประลองที่
คาดกันว่าจะดุเดือดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของ
ทั้งสองคนแล้วที่จะได้ปะทะกันนอกวัด และชาวบ้านส่วนหนึ่งก็ถูกใช้ให้
ไปจัด "สนามประลอง" ให้เรียบร้อย และตามคำสั่งท่านพระครู ห้ามไม่ให้
ใครไปรอดูที่สนามประลองก่อนถึงเวลานัดหมายเด็ดขาด ซึ่งนั่นเปรียบ
เหมือนคำประกาสิทธิ์ เพราะทุกคนไม่ว่าในหมู่บ้านนี้หรือในระแวกใกล้
เคียงต่างก็รู้ดีว่า ท่านพระครูสั่งคำไหนต้องเป็นคำนั้น ใครฝ่าฝืน ก็อาจจะ
ซวยได้ง่ายๆโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นท่านทำอะไรให้ใครเจ็บปวด
หรือเดือดร้อนสักคน ได้แต่เคยเห็นท่านหวดก้นไอ้สองหนุ่มตอนที่ยังเป็น
วัยรุ่นเท่านั้นเอง โดนไปคนละทีเท่านั้น ป่วยไปหลายวัน..........
เมื่อใกล้ค่ำ พระอาทิตย์ค่อยๆเลื่อนลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก ใน
ขณะเดียวกันก็ได้เกิดเมฆฝนดำทมึนไล่มาจากทางทิศตะวันออก พร้อมกับ
ประกายสายฟ้าแลบแปรบปราบเป็นระยะ พอสิ้นแสงอาทิตย์เท่านั้น ทั้งเมฆ
ที่ดำทมึนและสายลมก็พัดกระหน่ำมาจากทางทิศตะวันออก แรงบ้างเบา
บ้างชั่วเวลาหม้อข้าวยังไม่ทันเดือด คราวนี้ทั้งฝนทั้งลม ถล่มใส่หมู่บ้านนี้
แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้คนที่มารอชมการประลอง ก็ได้แต่ขึ้นไปหลบ
ฝนอยู่บนศาลาจนเต็ม ที่เหลือก็ต้องมุดเข้าไปอยู่ใต้ศาลา และกุฏิท่าน
พระครู ส่วนในหมู่บ้าน ต่างก็ปิดประตูหน้าต่าง ไม่มีใครออกมาเดินอยู่นอก
บ้านแม้แต่คนเดียว ทั้งลมและฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา บาง
ช่วงก็ดูเหมือนฝนจะหยุด แต่ลมก็ยังพัดแรงอื้ออึงอยู่ พอลมหยุดลงไป ฝน
ก็เทลงมาอีก สลับกันไปมาทั้งคืน จนไม่มีใครสามารถไปที่ลานประลองได้
แม้แต่คนเดียว..........................
ทุกอย่างมาสงบลงเมื่อใกล้รุ่ง ชาวบ้านที่มารออยู่ที่วัดต่างก็หลับไห
เพราะความอ่อนเพลียจากลมและฝนเมื่อคืน ที่อัดเข้ามาใส่พวกเขาเหมือน
จงใจไม่ให้ออกไปไหนจนทุกคนหลับไปทั้งเปียกๆอย่างนั้น..........
เสียงไก่ขันเจื้อแจ้วเป็นระยะ ท้องฟ้าจากมืดมิดสนิทใจตั้งแต่เมื่อคืน
เริ่มมีแสงเรืองรองจางๆทางทิศตะวันออก ผู้คนเริ่มออกมาจากบ้านต่างก็
ถามไถ่กันว่า เมื่อคืนมันเกิดอะไรกันขึ้น มีใครได้ไปดูการประลองบ้าง ฯลฯ
เมื่อเวลาผ่านไปจนเริ่มมองเห็นลายมือกันแล้ว ทุกคนก็ได้เห็นท่านพระครู
เดินออกจากวัด ตามมาด้วยคนที่รออยู่ในวัดก็ออกมาด้วย พากันเดินไป
ทางท้ายหมู่บ้าน พวกชาวบ้านก็เลยพากัะนเดินตามมาด้วยกันทั้งหมู่บ้าน
เพื่อที่จะมาดูว่าเจ้าสองคนนั่นเป็นยังไงบ้าง
เมื่ออกมาท้ายหมู่บ้าน มองไปทางลานประลองที่เตรียมไว้ไกลๆ ก็เห็น
คนยืนถือดาบคู่อยู่สองคนรอบๆลานเป็นหญ้าที่ขึ้นสูงเลยหัวเข่าขึ้นมาเล็ก
น้อย ท่ามกลางท้องฟ้าที่ยังมัวๆและมีละอองน้ำที่กลายเป็นหมอกจางๆลอย
อยูทั่วไป ทำให้มองภาพที่อยู่ไกลได้ไม่ชัดเจน พระครูและผู้คนทั้งหมดที่
เดินตามกันมาทั้งหมู่บ้านจำนวนเป็นร้อย ค่อยเดินเคลื่อนใกล้ลานประลอง
เข้าไปทุกที และละอองหมอกก็ดูเหมือนจะหนาขึ้น เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น
และแล้วผู้คนทั้งหมดก็เดินมาถึงลานประลอง ภาพแรกที่คนด้านหน้า
เห็นก็คือ เจ้าเอกและเจ้าเดี่ยว ยืนหันหลังชนกัน ในมือกำดาบยกในท่า
เตรียมพร้อมที่จะฟาดฟันผู้ใดก็ตามที่ย่างกรายเข้ามา ตามตัวเสื้อผ้าขาด
วิ่น ตามเนื้อตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมดาบทั้งเล็กและใหญ่
ตลอดทั่วทั้งร่างกายมีคราบเลือดเต็มไปหมดทั้งสองคน ที่พื้นอันเปียกแฉะ
รอบตัวที่ทั้งสองคนยืนอยู่ มีแต่ศพ เกลื่อนกลาดไปหมด แต่ละศพโดนไป
อย่างน้อยหนึ่งแผลยาวๆและลึกมาก บางคนแขนขาด บางคนหัวหายหรือ
ไม่ก็ห้อยร่องแร่งหวิดจะหลุดออกจากคอ ถ้าฝนไม่ตกเมื่อคืน ลานนี้จะเต็ม
ไปด้วยเลือดแดงฉานไปหมด ชาวบ้านได้กระจายออกไปดูรอบๆจนทั่ว
บริเวณ แล้วกลับมาบอกท่านพระครูว่า ทั้งหมดที่เราเห็นนอนเกลื่อนอยู่นี่
เป็นทหารของ....นับแล้วเฉพาะที่นอนอยู่แถวนี้ก็เกือบร้อยคน และมีรอย
เลือดเป็นทางไปอีกหลายสิบ....................
ทั้งคู่ได้ประลองกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วตามคำที่ท่านพระครูว่าไว้ และ
ร่างของทั้งสองก็ยืนหันหลังพิงกันอยู่อย่างนั้นแม้ดวงตาก็ยังไม่ปิดลง......
.........................................................................................
ครับ เรื่องสั้นในขายหัวเราะเรื่องนี้ทำเอาผมหัวเราะไม่ออกไปนานเลย
ทีเดียว ในตอนนั้นที่อ่านเรื่องนี้จบผมก็น้ำตาตื้นขึ้นมาเหมือนกัน เนื้อเรื่อง
อาจจะไม่เหมือนต้นฉบับที่ผมอ่านนะครับ แต่รับรองว่าเรื่องเขาเขียนมา
ประมาณนี้จริงๆ ผมก็แค่ใส่ชื่อสมมุตลงไป และเพิ่มอะไรไปนิดๆหน่อยๆ
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเองครับ และก็มีหลายเรื่องที่่อ่านแล้วให้ข้อ
คิดดีๆเหมือนกัน แต่ก็นานมาแล้วครับที่ไม่ได้อ่าน ขายหัวเราะ ทั้งคนอ่าน
และคนเขียนก็คงแก่ตามๆกันไปนั่นเอง
คืนนี้ก็จบลงแบบนี้แหละครับ ค่อนข้างเศร้าไปนิด แต่มันก็แค่
นิยายเรื่องสั้นเท่านั้นและก็ต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับหนังสือการ์ตูน
ขายหัวเราะครับ ที่ได้สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนไทยมาเป็นเวลาหลายสิบปี
ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน ขอให้นอนหลับสนิท ตื่นมาเจอเรื่องดีๆ
พบคนดีๆครับ
19-2-2566 01:48 น.