7 พฤศจิกายน 2565 21.07 น. สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ไม่มีคอนเท้น
ใหม่ๆมานำเสนอครับ แต่มีเรื่องจะมาเล่าสู่กันฟังครับ
ในการทำงาน ในการเดินทาง ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกคนล้วนมีจุด
เริ่มต้นแล้วก็มีจุดหมายปลายทางกันทุกคน เมื่อหลายวันมาแล้วได้เห็นข่าว
ของนักวอลเล่ย์บอลสาวไทยหนึ่งในเจ็ดเซียน โพสถึงอะไรบางอย่างที่
หลายๆคนอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่พอมาเมื่อวานก็ได้เห็นโพสอีกครั้งจากท่าน
เดิม ทุกๆคนก็ถึงบางอ้อกันหมด
ก็อย่างที่บอกว่าทุกคนมีจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางกันอยู่แล้ว
ในชีวิตการทำงานเคยไหมครับที่เรารู้สึกว่า เอ...ทำไมงานของตูมันยากจัง
ฟะ หรือทำไมงานของเรามันเยอะจัง หรือทำไมไม่มีใครว่างมาช่วยงานเรา
มั่งเลย ทีตอนเราว่างเรายังไปช่วยคนอื่นเลยอะ จนวันนึงเราจะรู้สึกว่างานที่
เราทำนั้นไม่มีใครทำได้ดีกว่าเราแน่นอน เราเป็นคนสำคัญของที่แห่งนี้ไป
แล้ว เมื่อไหร่ที่ไม่มีเรา ที่นี่มันต้องแย่แน่นอน ฉะนั้นเรามีสองทางเลือกคือ
หนึ่ง ขยันและทุ่มเทให้งานสุดๆไปเลย ไม่สนเวร่ำเวลา วันหยุดวันสำคัญ ตู
ทำแต่งานอย่างเดียวเพราะถ้าไม่ทำเดี๋ยวจะมีคนมาว่ามาตำหนิเราได้ ฯ
หรือ สอง ทำไปตามปรกติ หมดเวลางานก็กลับบ้าน วันหยุดก็อยู่กับคน
ใกล้ตัว ถึงเวลาค่อยไปทำงานเหมือนคนอื่นๆทั่วไปเขาทำกัน
ผลของทั้งสองอย่างย่อมไม่เหมือนกันแน่นอน แต่ไม่ว่าจะเลือกทำ
อย่างไหน เราก็ยังเป็นเพียง "ผู้รับจ้าง" เท่านั้น ทำงานเสร็จ หรือแข่ง
กีฬาชนะก็รอดตัวไป แต่ถ้างานไม่เสร็จ แข่งแพ้ ก็จะโดนตำหนิ แต่ถ้าเป็น
งานเร่งด่วนที่สำคัญ หรือเป็นแมทแข่งขันชี้ชะตา แต่ดันพลาด ผลที่ตามมา
อาจจะสาหัสกว่าทุกครั้ง บางทีอาจจะถึงขั้นไล่ออกจากงาน หรือ ยกเลิก
สัญญาจ้างเลยก็มี
เรื่องอย่างนี้ความจริงผู้ที่เคยผ่านการทำงานมาแล้วย่อมเข้าใจได้
อย่างดีอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่เริ่มทำงานเเละอายุยังน้อยอยู่ อาจจะยังไม่
เข้าใจสักเท่าไร ไม่ว่าคุณจะเก่งขนาดไหน คุณก็ยังคงเป็นแค่ "ผู้รับจ้าง"
เท่านั้น ขาดคุณไปเมื่อไหร่เขาก็หาคนอื่นมาแทนคุณได้อยู่ดีถึงจะไม่เก่ง
เท่าคุณ แต่งานมันต้องเดินต่อไป ไม่งั้นก็จะเกิดความเสียหายกับบริษัท
ซึ่งเจ้าของเขายอมไม่ได้แน่ๆครับ ส่วนที่ว่า เมื่อคุณออกไปแล้วจะไปทำ
อะไรที่ไหน ก็ระวังไว้หน่อยเรื่องความลับของบริษัทเก่า เพราะในสัญญา
จ้างส่วนใหญ่เขาจะระบุไว้ในเรื่องของการไม่นำ งานของบริษัทออกไป
เผยแผ่ให้แก่ผู่อื่นเมื่อคุณออกจากบริษัทเขาไปแล้ว อันนี้สำคัญนะครับ
พลาดมาโดนฟ้องหมดตัวง่ายๆ
ฮ่าๆ พาเครียดกันจนได้ มันเป็นเรื่องปรกติที่คนทำงานทั่วๆไปพบ
เจอกันอยู่ทุกวันครับ งานเอกชน คุณช้า คนอื่นเขาก็จะแซงคุณไป แต่ถ้า
คุณเร็ว คุณก็จะวิ่งไปข้างหน้าอยู่คนเดียว มันยากนะครับที่หาเพื่อนร่วม
งานที่ไว้ใจได้สักคน
ทั้งในนิยายและคำสวยหรูที่บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทาง
ไม่ใช่การไปถึงจุดหมาย แต่เป็นการเดินไปในระหว่างทางต่างหากที่สำคัญ
ก็เหมือนกับคำที่ว่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา นั่นหมายความว่า ความสนุก
ความหรรษาต่างๆมันเกิดขึ้นในระหว่างที่งานเลี้ยงนั้นดำเนินอยู่ เมื่อการ
เดินทางสิ้นสุดลง ก็เหมือนงานเลี้ยงที่จบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ใครบ้านมัน บางคนตื่นมาก็ยังรำลึกถึงเรื่องในงานเลี้ยงเมื่อคืนอยู่เลย
สาวนางนั้น หนุ่มนายโน้น ป่านนี้จะไปอยู่ไหนหนอ ฯ เช่นกัน เมื่อการเดิน
ทางถึงที่หมายแล้วยังไงต่อล่ะครับทีนี้
ความคิดที่ซับซ้อนของคนเรานี่น่ากลัวมากจริงๆนะครับ ตอนเด็กๆที่
ผมถูกส่งไปอยู่ต่างจังหวัด มีแต่คนแปลกหน้า ท่านตา ท่านยาย หน้าตา
ไม่คุ้นเลย เจอพีสาวที่ไปอยู่ก่อนหลายปีก็ใครอะ พี่สาวเราทำไมหน้าไม่คุ้น
เลย ไปโรงเรียนวันแรกยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาพูดอะไรกัน ฟังไม่รู้เรื่องเลย
ทุกอย่างใหม่หมด เด็กสิบเอ็ดขวบเองครับไปเริ่มเรียนชั้นประถมห้าหรือ
ป.5 นั่นแหละครับ ก็อาศัยนั่งมึนๆไปวันๆ ได้เดินไป-กลับ เองทุกอย่างทำ
เองหมด ซักผ้า ถูบ้าน ตักน้ำจากข้างล่างมาใส่ตุ่มน้ำบนบ้าน วันละสองตุ่ม
กลางวันเดินกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน วันนึงเดินไปกลับโรงเรียนสองรอบ
ผ่านไปไม่กี่วันก็เริ่มมีเพื่อนเดินไปด้วยกัน ก็ได้หัดพูดหัดคุยภาษาอีสาน
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าสุดๆ ผ่านเทอมแรกไปได้อย่างสบายตัวพอควร
แล้วก็เริ่มมีเพื่อนแถวๆบ้านบ้างแล้ว ก็นัดไปเที่ยวกันวันหยุดเสาร์ อาทิตย์
สถานที่ก็ "ทุ่งนา" ครับ ไปหาเล่นน้ำ ตกปลา ในลำห้วยตื้นๆ ผมก็ได้ฝึก
วิทยายุธในการเอาตัวรอดในป่าก็กับเพื่อนพวกนี้แหละครับ ปัจจุบันก็ไป
ก่อนผมกันหลายคนแล้ว ที่นี้ในทุ่งนาแถวนั้นจะมีต้นมะขามใหญ่อยู่ต้นนึง
ในความทรงจำของผมมันเป็นต้นมะขามที่สวยมากๆ เหมือนเราดูบอนไซ
ในกระถางประมาณนั้นเลยครับ มันยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่บนเนินดินลิมลำห้วย
รอบด้านนอกจากลำห้วยแล้วก็จะเป็นทุ่งนาเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
และถ้ามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้หน่อยๆก็จะเห็นทิวเขาเป็นแนวยาว
ขวางหน้าอยู่ไกลลิบทอดตัวจากซ้ายไปขวา มารู้ทีหลังว่าเทือกเขานั้นคือ
เทือกเขาดงพยาเย็น ซึ่งเมื่อก่อนเขาเรียกกันว่า เทือกเขาดงพยาไฟ กั้น
ขวางระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน ความสูงก็อยู่ประมาณ 300-400 กว่า
เมตรจากระดับน้ำทะเล (ดูจากกูเกิลเมพครับ)
ตอนนั้นเป็นเด็กอายุสิบเอ็ดขวบ จะรู้ทิศรู้ทางได้ไง นาฬิกายังดูไม่เป็น
กันเลยครับ แต่ก็ยังได้ปีนต้นมะขามต้นนั้นกับเพื่อนๆอยู่บ่อยๆ ทุกคนเมื่อ
อยู่บนต้นมะขามนั้นแล้วก็จะพยายามหาที่ที่สูงและนั่งสบายที่สุด นั่งรับลม
และเหม่อมองออกไปยังทิวเขาที่อยู่ไกลลิบๆนั้น มันเป็นความรู้สึกที่บอก
ไม่ถูกเหมือนกันครับ พระอาทิตย์ใกล้จะลับฟ้าสาดแสงสีส้มจ้าออกมาทาบ
ทับไปบนท้องฟ้า ทั้งเมฆและแผ่นฟ้ากลายเป็นสีแสด ทิวเขาที่อยู่ลิบๆนั่นก็
กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ทุ่งนาที่ยังมีแต่ตอฟางข้าวเหลืองซีดอยู่ทั่วไป กลิ่น
ของฟางและขี้วัวขี้ควายผสมกันลอยมา จะว่าหอมก็ไม่ใช่จะว่าเหม็นก็ไม่
เชิง แล้ววันนึงเมื่อเราอยู่กันบนต้นมะขามตอนยามเย็น เก็บยอดมะขาม
อ่อนมาเขี้ยวเล่นแทนขนมถุง รสชาติทั้งหวานทั้งเปรี้ยวปนๆกันไปอร่อยดี
อย่างบอกไม่ถูกเหมือนกันครับ เพื่อนคนนึงมันก็พูดออกมาว่า มันถาม
พ่อมันมาละว่าทิวเขาที่เราเห็นอยู่ลิบๆนั่นมันเรียกว่าอะไร พ่อมันบอกว่า
นั่นคือเทือกเขาดงพยาไฟ กั้นระหว่างภาคอีสานกับภาคกลาง ถ้าจะไป
กรุงเทพฯก็ต้องข้ามเขาเทือกนั้นไป..........ทุกคนเมื่อได้ฟังดังนั้นก็พร้อม
ใจกันหันไปมองที่เทือกเขานั้นพร้อมกันเหมือนกับได้นัดกันไว้ ทุกคนจ้อง
เทือกเขานั้นอยู่นาน ใครจะคิดอะไรยังไงผมไม่รู้ แต่ในนาทีนั้น น้ำตาผมมัน
ไหลออกมาช้าๆอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว...........
ครับ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา แต่ใช่ว่าจะจัดขึ้นใหม่ไม่ได้ งาน
เลี้ยงนี้จบลง เราก็ไปหางานเลี้ยงอื่นๆอีกก็ได้นี่ครับ การเดินทางที่สิ้นสุด
ลงเพราะเราไปถึงจุดหมายปลายทางแล้วเราก็หาจุดหมายใหม่เพื่อเริ่มเดิน
ทางอีกครั้ง ตราบใดที่ยังมีกำลังอยู่ อย่าไปท้อครับ หรือถ้าร่างกายเราเริ่ม
ไม่ไหวก็เปลี่ยนจุดหมายใหม่ก็ได้ ชีวิตเป็นของเราครับ
หลังๆนี่เริ่มมั่วๆ มโนซะเยอะแล้วครับ ถ้ามันหนักไปก็ขออภัยด้วย
ครับ ความคิดมันพาไป วันนี้ก็มีเท่านี้ครับ ขอให้ทุกท่านนอนหลับฝันดี
ตื่นมาพบเจอแต่เรื่องดีๆและคนดีๆครับ ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน
23.56 น.
......................................................................................................