เรือจำลอง BY VIN MODEL

 

 
*** การเข้าร่วม ออกแบบเขียนแบบเรือ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นครับ***
*** ไม่จำกัด เพศ และ อายุ จะสิบขวบหรือ หกสิบ เจ็ดสิบปีก็ยินดีครับ ครับ หรือแค่อยากเข้ามานั่งฟังอย่างเดียวก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องเอาไปทำอาชีพอะไร ***
*** รายละเอียดอยู่ในบทความวันที่  
  7 ธันวาคม 2567 ครับ ***

*** เพิ่มเติมครับ การคุยกันหรือให้ความรู้เรื่องเรือตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น จนถึงการ ออกแบบและเขียนแบบเรือ ตลอดจนการนำแบบเรือไปใช้ ไม่มีกำหนดวันและจำนวนคนแล้วนะครับ คนเดียวก็คุยได้ครับ ท่านใดสนใจก็ติดต่อมาได้ทุกวันครับ ***

ติดต่อได้ทุกวันที่หมายเลขด้านล่างครับ

      Tell: 0879262908 
      Line ID : f35efg

....................................................................................................
             14 ตุลาคม 2568 3:34 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน ค่ำคืนนี้ ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับไปเริ่มการออกแบบเรือกันครับ เอาตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าใครจะมาจ้างให้ทำอะไรเลยก็แล้วกันครับ
             อย่างแรกที่เราต้องมีคือ ช่องทางการติดต่อที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบได้ เช่น เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้มาเป็นเวลานาน ที่อยู่เป็นหลักแหล่งอ้างอิงได้ และที่ขาดไม่ได้คือ ความรู้ของเราเองครับ ความรู้ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า เราทำเรื่องเรือได้ทั้งหมดนะครับ บางคนอาจจะทำอะไรเกี่ยวกับเรือไม่ได้เลย แต่สามารถขายงานได้เป็นเรื่องเป็นราวก็มีเยอะแยะ นั่นเพราะเขารู้จัก "เรือ" และคนที่ทำเรื่องเรือได้นั่นเอง เขาสามารถตอบคำถามเรื่องเรือกับผู้ที่สนใจได้มากพอสมควร และสามารถที่จะหาคนมาทำเรื่องที่คนต้องการเรือได้นั่นเอง จะเรียกว่า นายหน้าก็ไม่ถูกต้องนัก เรียกว่านักการตลาด หรือ ฝ่ายขายจะดีกว่าครับ
             คนอย่างพวกผม จะ "ขาย" งานของตัวเองไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เพราะเรารู้ กฏฯ ระเบียบ ค่อนข้างมาก และเราก็รู้ว่าข้อจำกัดในตัวเรามันก็มีเหมือนกันสำหรับบางงาน พอเจอคนที่มีความต้องการเรือมาคุยด้วย มันก็พอได้ในระดับหนึ่ง เพราะข้อมูลที่ผมให้ไปมันเป็นเรื่องที่ทั้งทำได้ และทำไม่ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความลังเล สงสัยกับผู้ที่เข้ามาติดต่อด้วยนั่นเอง และส่วนใหญ่คนเหล่านั้นก็จะหายไปเองครับ เพราะผมไม่ตอบโจทย์นั่นเอง
            กว่าจะได้แต่ละงานนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆครับ พอได้งานมาแล้วยิ่งเหนื่อยขึ้นไปอีก กว่าจะทำใบเสนอราคาและทำสัญญากันได้ต้องใช้เวลาคุยกันพอสมควร บางรายเป็นอาทิตย์ บางรายอาจะเป็นเดือนหรือหลายเดือนก็มี บางงาน หายไปหลายเดือน แล้วกลับมาคุยกันต่อก็มีครับ ไม่ง่ายเลยกับการที่เราจะทำงานเพื่อเอาเงินจากใครสักคน
          เรื่องที่คุยกันก่อนทำสัญญาจ้างก็จะประมาณว่า ความต้องการเรือของอีกฝ่ายตือเรืออะไรหมายถึงเอาไปใช้งานอะไรนั่นแหละครับ ขนาดเท่าไหร่ เอาไปใช้ที่ไหน ทำด้วยอะไร มีกฏระเบียบอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง ในขั้นตอนนี้ ผมต้องเขียนแบบทั่วไปมาหนึ่งลำ ตามขนาดและรูปร่างที่เขาต้องการ เพื่อเป็น "ตุ๊กตา" เอามาถกกันว่า มันจะเอาตรงนั้นเข้า เอาตรงนี้ออก กว้างกว่านี้ได้ไหม ใส่ของได้มากว่านี้หรือเปล่า ฯลฯ นี่แหละครับมันถึงต้องคุยกันนานหน่อย เมื่อลงตัวแล้ว พวกผมก็จะทำแบบ GA  หรือแบบจัดการทั่วไปที่สรุปร่วมกันแล้วขึ้นมา สมัยนั้นจำได้ว่า เขียนกันด้วยมือนี่แหละครับ กว่าจะเสร็จก็เป็นอาทิตย์เหมือนกัน เพือพิจรณา เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะทำใบเสนอราคาและทำสัญญาจ้างกันต่อไป
          นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยที่ผมยังทำงานประจำอยู่นะครับ ก็เกือบยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ที่ผมได้เข้าไปรู้เห็นการว่าจ้าง การทำสัญญาว่าจ้างออกแบบ เขียนแบบ เรือ ซึ่งเรื่องต่างๆก็ผ่านมานานมากแล้ว ไม่รู้ว่า ปัจจุบันยังเป็นอย่างนี้อย่หรือเปล่า
          เมื่อได้งานมาแล้ว ที่นี้ก็วุ่นล่ะครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้านายก็จะมาแบ่งงานกันไปทำ ใครเขียนแบบอะไร ก็รับผิดชอบไป เรือหนึ่งลำไม่ได้เขียนคนเดียวนะครับ สมัยนั้น เขียนกัน สี่ถึงห้าคน และหนึ่งคนก็ไม่ได้เขียนแบบเรือลำเดียวเหมือนกัน ต้องลำดับความเร่งด่วนกันเอาเองครับ มันมีเวลากำหนดอยู่ ใครเขียนเสร็จทันก็รอดไป ใครไม่ทันก็ซวยแน่นอน 
        บางคนพอเห็นแบบเรือแล้วมักจะพูดว่า มีแค่นี้เองหรอ ไม่เห็นมีอะไรมากเลย..........ได้ยินทีไรมันเจ็บจี๊ดในใจมากๆเลยครับ สมัยนั้น คนเขียนแบบกว่าจะลงหมึกได้แต่ละเส้น กลั้นใจแล้วกลั้นใจอีก กลัวงานจะเลอะจะเสีย แบบแผ่นหนึ่งเหมือนกับเขียนสองครั้งเป็นอย่างน้อยนั่นคือ เขียนด้วยดินสอครั้งหนึ่ง ตรวจทานเสร็จแล้วจึงลงหมึกอีกรอบ รอบนี้แหละครับ ถ้าพลาด ลบไมได้ก็ต้องไปเริ่มใหม่ทั้งหมดนั่นเอง นั่งเขียนกันเป็นอาทิตย์กว่าจะเสร็จสักแผ่น หรืออาจจะถึงเดือนก็เคยมีมาแล้ว
       นี่แหละครับ ชีวิตคนเขียนแบบเรือ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าไปถึงไหนกันแล้ว ขอให้โชคดีทุกท่านนะครับ สำหรับผู้ที่ทำงานด้านนี้
        คืนนี้ ราตรีสวัสดิครับทุกท่าน
4:26 น.


....................................................................................................
             2 ตุลาคม 2568 1:29 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน วันนี้มาจั่วหัวไว้ก่อน คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเล่าเรื่องอะไรดี.................................
             ในเรือหนึ่งลำก็เปรียบได้กับบ้านหรืออาคารหนึ่งหลังดีๆนี่เองครับ มีส่วนประกอปเยอะแยะไปหมด ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในการเดินเรือและดำรงชีวิตได้ในรยะเวลาหนึ่ง แต่ที่ต่างกับบ้านหรืออาคารก็คือ ไม่ว่าเรือจะใหญ่หรือเล็ก มันสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วในระดับหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยเครื่องยนต์และใบจักร หรืออาจจะเป็นอย่างอื่นเช่นใบเรือ , วอเตอร์เจ๊ต ฯ ก็ได้เหมือนกัน ถ้าสังเกตุให้ดี บทความที่ผมทำมาตั้งแต่ต้นนั้น จะไม่กล่าวถึง ระบบขับเคลื่อน และระบบนำร่อง ,สื่อสาร ของเรือเลย อาจจะมีแค่เฉี่ยวๆบ้างเช่น ระบบ GMDSS ที่ผมทำบทความไว้นานมากแล้ว นั่นก็เนื่องด้วยผมไม่มีความรู้มากพอในเรื่องดังกล่าวนั่นเองครับ เลยไม่กล้าทำ เพราะเดี๋ยวจะเข้าใจผิดตามผมไปด้วย
             แล้ววันนี้จะอาไงดีในเมื่อคิดไม่ออกแต่อยากจะทำสักบทความนึงแก้ขัดไปก่อน......................
             ฮะฮ่า เอางี้ วันก่อนแนะนำนิยายจีนไปเรื่องหนึ่งแล้ว วันนี้ เอาหนังฝาหรั่งมาฝากซักเรื่องก็แล้วกันครับ
               MAN FROM EARTH นี่คือชื่อของหนังเรื่องที่ว่าครับ ผมดูครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2007 สิบแปดปีมาแล้ว และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็มีภาคสองตามออกมาห่างกันเป็นหลายปีเหมือนกัน แต่ภาคสองผมขอไม่กล่าวถึงละกัน เพราะแนวเรื่องเขาฉีกจากภาคหนึ่งไปเยอะ ไม่สนุกน่าดูเท่าไหร่ตามความคิดผมคนเดียวนะครับ


              ตอนดูครั้งแรก ก็ยัง งงๆ กับหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ว่า เราดูหนังอะไรอยู่ว่ะเนี่ย นั่งดูตั้งชั่วโมงกว่าๆไม่ลุกไปไหนเลย
            เกือบทั้งเรื่อง ถ่ายทำในห้องๆเดียว มีคนมานั่งคุยกันเจ็ด แปดคน คุยไป ถามมา ตอบกันไป เป็นอยู่อย่างนี้แทบทั้งเรื่อง มีบางตอนตัดออกมาหน้าบ้านมั่งแล้วก็กลับเข้าไปคุยกันต่อในบ้านเท่านั้นเอง
             ถ้าถามผมว่าหนังเรื่องนี้เหมาะกับคนประเภทไหน ขอตอบว่า เหมาะกับคนที่ว่างมากๆ หาอะไรทำไม่ได้ และต้องไม่เป็นคนที่เครียดด้วยนะครับ ไม่งั้นดูไปจะเครียดไปเปล่าๆ ทั้งๆที่เนื้อหาในหนังมันไม่ได้เครียดอะไรเลยแต่มัน จะคุยกันเรื่องการมีชีวิต การใช้ชีวิต สังคม และศาสนา ของคนๆหนึ่งทีถูกสมุติให้มีอายุยาวนานมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งจนถึงปัจจุบัน ซึ่งตรงนี้หลายๆท่านอาจจะรับไม่ได้ก็เป็นไปได้จะพาให้เลิกดูไปซะก่อนที่หนังจะจบ
           โดยส่วนตัวผมเองดูไปหลายรอบแล้วในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่า จำข้อความที่เขาคุยกันไม่ได้หมดสักที จำได้คร่าวๆเท่านั้นเองครับ แต่ยังไงผมก็ขอแนะนำให้ลองไปหาดูชมกันนะครับ เผื่อจะได้มีเรื่องฆ่าเวลาเหมือนผม ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
          ค่ำคืนนี้ขอให้ทุกท่านฝันดี ราตรีสวัสดิครับ
2:21 น.
....................................................................................................
***** มาอัปเดทแล้วครับ ********
             22 กันยายน 2568 3:50 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน บทความตอนนี้มาว่ากันเรื่อง Clear view screen ถ้าเป็นภาษไทยก็ประมาณ ที่ปัดน้ำฝนนั่นแหละครับ
            ในปัจจุบันพบเห็นค่อนข้างยาก เพราะเขาหันไปใช้ที่ปัดน้ำฝนที่มีรูปร่างคล้ายๆกับของรถยนต์ซะเป็นส่วนมาก เพราะมันดูสวยกว่า เก็บซ่อนได้ดีกว่า บรรดาเรือหรูหราหมาเห่าเลยไม่ใช้ เจ้า ตัวเดิมกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังพบเห็นได้บนเรือบรรทุกสินค้าแบบเก่าๆ หรือเรือกู้ภัยทางทะเลก็ยังคงใช้เจ้าตัวนี้กันอยู่ 


             รูปร่างหน้าตาก็จะคล้ายๆกันหมดตามภาพด้านบนครับ จะต่างกันที่ความกว้างหรือเส้นผ่าศูนย์กลางเท่านั้น ยิ่งกว้างมากยิ่งแพงมาก แพงกว่าระบบที่ปัดน้ำฝนแบบรถยนต์หลายเท่า และที่สำคัญ เวลาติดตั้ง มันต้องตัดกระจกด้านที่จะติดเจ้าตัวนี้เข้าไปด้วย
         คลิปมาจาก ยูทูปครับ
                               คลิปด้านบนคือการบำรุงรักษาครับ
       พิมพ์ซะเกือบจะจบละ ระบบมันดันตัดฉับ บอกว่ากำลังอัปเดท กรรม หายหมดเลย เยอะด้วย เฮ้อ พรุ่งนี้มาต่อกันครับ วันนี้หมดแรงแล้วจริงๆ อรุณสวัสดิครับทุกท่าน
5:11 น.
          
23-9-2568 2:07
        มาว่ากันต่อครับ จากเมื่อวาน โดนระบบของเวปตัดฉับเข้าให้
   
Clear view screen จะแบ่งเป็นสองประเภทหลักๆคือ หนึ่งเป็นแบบที่มีกระจกวงกลมสองแผ่น เหมือนในคลิปเมื่อวานนี้ แผ่นด้านใน จะยึดแน่นกับขอบโลหะวงกลม ซึ่งอาจจะทำด้วย อลูมิเนียม หรือเหล็กหล่อก็ได้ ซึ่งขอบนี้จะยึดติดกับช่องกระจกหน้าต่างที่ถูกเจาะออกเป็นวงกลมขนาดตามแบบของแต่ละรุ่น ตรงกลางจะเห็นว่ามีกระบอกทรงกลมอยู่นั่นคือมอเตอร์  DC 12-24 V แล้วแต่รุ่นและแกนมอเตอร์จะยาวออกไปด้านนอก เพื่อเป็นที่ยึดกับกระจกกลมอีกแผ่นที่มีขอบเป็นโลหะเหมือนกัน แต่ที่ต่างกันก็คือ กระจกกลมและขอบที่มันยึดอยู่ จะหมุนตามแกนของมอเตอร์ ด้วยความเร็วพอสมควร เพื่อสร้างแรงเหวี่ยง ขจัดหยดน้ำหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ปลิวมาติดที่กระจกแผ่นนี้นั่นเอง หน้าตามภาพด้านล่างครับ

    ภาพนี้มาจาก : https://www.quora.com/How-does-a-clear-view-screen-work
           
       อีกประเภทหนึ่งก็คือ มีกระจกกลมแค่แผ่นเดียวพร้อมขอบโลหะ ที่ยึดกับแกนมอร์เตอร์ และจะหมุนเมื่อเปิดการทำงาน หลักการเดียวกันกับประเภทแรก แต่ตัวนี้ มอเตอร์  DC 12-24 V  จะยึดติดกัลแขนโลหะที่เชื่อมต่อกับขอบวงกลมที่ยึดติดอยู่กับช่องหน้าต่างนั่นเอง ข้อเสียของตัวนี้คือ ช่องมองออกไปข้างนอกจะมีพื้นที่น้อยลง เมื่อเที่ยบกับแบบแรก ที่มีเพียงสายไปเส้นเล็กๆ ที่ออกมาจากขอบวงกลมโลหะเท่านั้นเอง การบำรุงรักษาจะคล้ายๆกันครับ แต่ที่สำคัญทั้งสองประเภทนี้ ต้องกันน้ำ ร้อยเปอณ์เซ็น
หน้าตาจะประมาณภาพด้านล่างนี้ครับ บางแบบก็มีแขนเดียว 

     
  ภาพนี้มาจาก :https://www.onboardwithmarkcorke.com/on_board/2013/11/cleaner-screen-clearview.html

   

              ปรกติจะเป็นอุปกรณ์มาตราฐาน ที่ต้องมีติดตั้งไว้ในเรือทุกลำ แต่ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยี่เปลี่ยนไปเยอะมาก จึงอาจจะไม่ค่อยเห็นเจ้าตัวนี้ติดอยู่ที่หน้าต่างด้านหน้าของเรือสักเท่าไหร่ จัดว่าหาดูยากพอสมควรครับ
            และเทคโนโลยี่ตัวนี้ได้เกิดมานานหลายสิบปีมาแล้วอาจจะแก่กว่าอายุของผมด้วยซ้ำไป ปีนี้ ผม หกสิบเอ็ดแล้วครับ แต่มันก็ยังคงมีอยู่ และบางส่วนกับหลักการทำงานของมันได้ถูกพัฒนาไปใช้กับอุปกรณ์อื่นอีกเช่น กล้องถ่ายรูปและวีดีโอ เคยสงสัยไหมครับว่าเวลาเราดูคลิปกีฬากลางแจ้ง แล้วฝนมันตก แต่ทำไมหน้ากล้องหรือหน้าจอ ไม่มีฝนมาติดซักเม็ดเลย ก็เจ้าตัวนี้แหละครับ ที่ไปหมุนอยู่หน้าเลนท์ กล้องทั้งหลายเพื่อสลัดหยดน้ำฝน หรือเกล็ดหิมะออกไปนั่นเอง ตามคลิปด้านล่างครับ

          
คลิปมาจาก ยูทูปครับ

       
                รอดไป ไม่โดนอัปเดทหายไปอีกแล้ว เคยโดนอย่างนี้อยูหลายครั้งเหมือนกันครับ พิมพ์เพลินๆ ลืมอัปโหลด อยู่ๆ หายไปหมดเลย จบกัน ฮ่าๆๆๆๆๆ แก่แล้วครับ ไม่ว่องไวเหมือนก่อนแล้ว
              ราตรีสวัสดิ ทุกท่าน ขอให้โชคดีกันครับ
2:43 น.

....................................................................................................
             21 กันยายน 2568 3:18 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน ช่วงนี้ยังว่างอยู่ เลยไปหาฟัง หนังสือเสียง ที่เขาอ่านนิยายมาลงในยูทูป เพลินดีครับ ไม่ต้องอ่านเองให้ตาเหร่ เพราะแว่นตาของผมก็ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายปีแล้ว ต้องเพ่งสายตาอย่างมากในการอ่านข้อความในจอ หรือแม้แต่หนังสือทั่วๆไปก็มีปัญหาพอสมควร อ่านนานๆก็ปวดตาเหมือนกัน
             เอาเป็นว่าผมมาแนะนำหนังสือเสียงที่เป็นนิยายเรื่องนี้ก็แล้วกันครับ เป็นนิยายจีนโบราณ ที่ออกมาน่าจะเกินยี่สิบปีไปแล้ว ผมก็จำไม่ได้ เพราะ ผมเคยซื้อและอ่านจบไปหลายรอบละ นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า "เจาะเวลาหาจิ๋นซี" หลายท่านคงจะเคยผ่านตากันมาบ้าง เพราะเขาได้ทำออกมาเป็น ซีรี่ย์ เท่าที่คยเห็น น่าจะสอง เวอร์ชั่นแล้ว แต่เท่าที่ดูซีรี่ย์ ดูได้ไม่กี่ตอนก็ต้องถอยแล้ว เพราะมันถูกตัดแต่งไปจากนิยายในหนังสือแบบดูแล้ว อ้าวเฮ้ย อะไรประมาณนั้นล่ะครับ อรรถรสในการรับรู้ อารมณ์ร่วมมันหายไปเยอะเลย เพราะในนิยายที่เป็นหนังสือ มันจัดอยู่ในหมวด 18+ อย่างชัดแจ้ง ฆ่ากันเลือดสาด และวาบหวามแบบสุดๆก็แล้วกัน

                  ภาพด้านบนมาจาก กูเกิลนะครับ เป็นหนังสือภาพ หรือ กาตูน ก็มีแต่ผมไม่ได้อ่านตัวนี้ อ่านแต่นิยายอย่างเดียว นี่ก็เพิ่งจะฟังจบไปเมื่อวานอีกรอบ สนุกดีครับสำหรับคนว่างงานอย่างผม สำหรับท่านที่สนใจก็ไปหาฟังได้ใน ยูทูป ครับ แต่ถ้าจะอ่านหนังสือ มันมีอยู่ เจ็ดเล่มหนาๆ ผมเหลืออยู่เล่มแรกเล่มเดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้มันไปอยู่ตรงไหนแล้ว
                    ถือเป็นการฆ่าเวลาไปอีกตอนหนึ่งล่ะกันครับ พรุ่งนี้จะมาเล่าเรื่อง "Clear view screen" ครับ ราตรีสวัสดิครับทุกท่าน
3:41 น.

....................................................................................................
             19 กันยายน 2568 3:27 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน วันนี้เรามาว่ากันเรื่องเรือดีกว่า วางเรื่องการเมือง สังคม และสนามรบเอาไว้ก่อน ปล่อยให้คนที่เขามีหน้าที่ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ แม้บางเรื่องมันจะขัดใจ ไม่ทันใจพวกเราชาวไทยกันสักเท่าไหร่ แต่พวกเราก็มีชีวิตอยู่ในประเทศไทยกันมานานจนอาจจะเกิดความเคยชินกับบางเรื่องไปแล้วก็ได้ ฮ่าๆ ขนาดวางแล้วยังอดแวะไปเฉียดหน่อยไม่ได้เลยจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
          ช่วงนี้ผมได้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับการออกแบบเรือ SPEED BOAT อยู่บ้าง เลยนึกถึงคลิปในยูทูปขึ้นมา ได้ไปค้นหามาแบ่งกันดูครับ ตามคลิปด้านล่างนี่เลยครับ


       
               คลิปนี้ยาวพอสมควร แต่ผมมองว่าเป็นคลิปที่ดีมาก คนที่คิดหรือมีเรือประเภทนี้อยู่ ดูคลิปนี้แล้วคงจะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
               จากในคลิปจะเห็นว่า บรรดาเรือ  SPEED BOAT ทั้งหลาย ทั้งเล็กทั้งใหญ่ เมื่อออกทะเลไปเจอคลื่นลมแล้ว มันไม่สนุกเลยจริงๆ แม้ว่าเรือนั้นจะหรูหราและราคาแพงขนาดไหนก็ตาม เมื่อมาเจอคลื่นลมก็จะเกิดอาการตามในคลิปนั่นแหละครับ คนในเรือก็หัวทิ่มหัวตำไปตามอาการโคลงของเรือ มีเจ็บกันบ้างไม่มากก็น้อย บางคนถึงกับตกเรือลงไปลอยคออยู่ในน้ำก็มี มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่น้อย ไอ้เรานั่งดูอยู่ที่บ้านมันก็ เออ เพลินดี แต่คนที่อยู่ในคลิปนี่ โอกาสรอด อาจจะไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นด้วยซ้ำสำหรับคนที่ไม่ได้ใส่เสื้อชูชีพ และการตกแต่งในตัวเรือ ที่นั่งต่างๆ จะเห็นว่า เรือในคลิปนี้จะบุด้วยวัสดุที่คล้าย นวมหรือเบาะนุ่มๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ไอ้ตรงไหนที่เป็นเหลี่ยมเป็นมุมก็จะถูกหุ้มด้วย เบาะหนังหรือเบาะฟองน้ำแทบทั้งหมด เพื่อลดความเสียหายจากการที่คนล้มไปโดนหรือชน ด้วยแรงเหวี่ยงที่เกิดจากอาการโคลงของเรือ
                 ขอบอกตรงๆว่า ในชีวิตของผมได้มีโอกาสขึ้นเรือประเภทนี้ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทั้งๆที่ทำงานเกี่ยวกับเรือมาครึ่งชีวิตแล้วก็ตาม สาเหตุก็คือ มันแพงครับ ถ้าไม่ฟรี ผมไม่ไปเด็ดขาด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
                  ตอนมันเทียบท่านิ่งๆก็ดูดีดูสบายอยู่หรอกครับ แต่พอลงไปนั่งอยู่ในเรือแล้วมันแล่นออกทะเลไปนี่ บอกตรงๆว่า ทรมานสุดๆ โยกซ้ายที ขวาที กระแทกกับคลื่นทีตัวเราก็กระดอนขึ้นแล้วก็ตกลงมาที กว่าจะถึงที่หมายนี่ ระบมไปทั้งตัวเลยทีเดียว ผมชอบไปนั่งอยู่ท้ายเรือใกล้เครื่องยนต์มากที่สุด เพราะตรงนั้นมันจะกระกระโดดไม่มาก ที่หัวเรือนี่ อย่าได้ออกไปนั่งเวลาเรื่อแล่นออกทะเลเชียวนะครับ ขอเตือนด้วยความหวังดีจริงๆ ถ้าอยากลองก็ได้ครับ แต่ของฝากที่จะได้มาก็คือย่างน้อยๆ จะมีรอยช้ำ ตามแขน ขาลำตัว ก้น ฯ เล็กน้อย แต่ถ้าโชคร้าย ก็ประมาณ กระดูกออกนอกเนื้อเลยก็แล้วกัน บางคนถึงกับถลาไปชนกับอะไรต่อไรที่อยู่แถวนั้น หัวร้างข้างแตกก็มีมาแล้ว ฯ
          ไม่ได้มาขู่ให้กลัวนะครับแต่มาบอกกันว่า ให้ระวังไว้มากๆ เด็กเล็กๆนี่ ไม่ควรเอาลงเรือประเภทนี้ไปเที่ยวโดยเด็ดขาด มันเสี่ยงมากกว่าสนุกจริงๆนะครับ พลาดมา มันไม่คุ้มกันเลย มันเหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีกำลังมีแรง อย่างสภาพผมตอนนี้ก็ลงไม่ได้แล้วเหมือนกัน ขืนลงไป ก็ไม่แน่ว่าจะรอดกลับมาขึ้นฝั่งเดิมได้หรือเปล่า อาจจะต้องนอนกลับมาก็เป็นได้
        ดูคลิปแล้วก็พิจรณากันเอาเองนะครับ วันนี้ต้องขอตัวไปนอนแล้วครับ ตีสี่กว่าๆแล้ว โชคดีครับทุกท่าน
4:09 น.
              

....................................................................................................
             13 กันยายน 2568 5:43 น. อรุณสวัสดิครับทุกท่าน วันนี้มาแต่เช้าเลย คือ ยังไม่ได้นอนนั่นเอง อาทิตย์หน้าหมอนัดอีกแล้ว สามเดือน แปปเดียวเอง
            วันนี้จะเหมารวมหลายๆเรื่องก็แล้วกันครับ เรื่องเรือก็ยังพอมีอยู่บ้าง คือตอนนี้ การท่องเที่ยวบ้านเราจัดว่าเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในโลกนี้ก็ว่าได้ ธุรกิจต่างๆเริ่มขยับตัว บ้างก็ขยายกิจการ บ้างก็เริ่มหาซื้อยานพาหนะต่างเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มผลประกอปการ ก็ว่ากันไปครับตามจังหวะของเศษฐกิจที่กำลังเริ่มฟื้นตัว แม้จะเกิดการปะทะตามแนวชายแดนเขมร แต่ก็ไม่มีผลกระทบกับการท่องเที่ยวโดยรวม แม้แต่การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแช็มป์โลกที่จัดขึ้นในไทยก็เสร็จสมลุล่วงไปอย่าวดี ได้รับผลตอบรับที่ดีไปทั่วโลก
          สองเดือนกว่าที่ผ่านมาแนวรบด้านตะวันออกเฉียงเหนือที่เราปะทะกับเขมร แม้จะปะทะกันหนักๆแค่ห้าวัน แต่ผลที่เกิดขึ้นเรียกว่า สะเทือนไปทั่วโลกเลยทีเดียว วงการค้าอาวุธคึกคักขึ้นมาอีกครั้งโดยเฉพาะ เครื่องบินรบ ที่ไทยใช้ในการปะทะครั้งนี้ ได้ผลเป็นอย่างมาก จริงอยู่ที่ เราเหนือกว่าเขมรมากมายและเขมรไม่มีเครื่องบินรบบินขึ้นมาแม้แต่ลำเดียวก็ตาม แต่ในสนามรบอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ด้วยความไม่ประมาท กองทัพอากาศต้องใช้เครื่องบินที่ดีที่สุกทันสมัยที่สุด ส่งเข้าไปปฏิบัติการในครั้งนี้ เพื่อรับประกันการสูญเสียของเครื่องบินรบที่ส่งเข้าไปว่า จะต้องไม่พลาดแม้แต่น้อย ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สร้างผลกระทบต่อทหารเขมรที่อยู่ในพื้นที่ได้อย่างดี แม้แต่บินไปเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ได้ยินเสียง ทหารเขมรก็ขวัญบินกันไปหมดแล้ว และความสูญเสียของฝ่ายเขมรก็เกิดขึ้นไม่น้อย เหม็นไปทั้งป่าตลอดแนวปะทะ เป็นที่น่าอนาถใจเป็นยิ่งนัก
            ฝ่ายเราก็เสียทหารกล้าไปสิบกว่านายและบาดเจ็บอีกบางส่วน ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดจนถึงเวลานี้ ส่วนทางด้านประชาชนคนไทยก็สูญเสียไปอีกสิบกว่าคน ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าเขมรมันไม่บ้าขนาดนี้ ยิงมั่วไปหมด ไม่สนแนวปะทะเลย ยิงใสบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการรบตามแนวชายแดนเลย ถือว่าเป็นการกระทำที่บัดสบ ไร้ความเป็นคนสิ้นดี
           มาถึงวันนี้ยังจะมีบางคนอยากให้เปิดด่านชายแดนอีก โห เอาไรคิดฟะเนี่ย ไหนๆรบแล้วต้องเอาให้เตียนไปเลย แม้จะหยุดยิงก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น มันต้องมียกสองแน่นอน ถ้าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอฝาก น้องๆทหารทั้งหลาย เอาให้เรียบเลยนะครับ ไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องจับมาเป็นเฉลย เอาให้เข็ดไปอีกสามสิบ สี่สิบปีกันเลยทีเดียว ที่สำคัญอย่าให้ไอ่ตัวไหนไปเปิดด่านค้าขายกับเขมรอีกนะครับ ปูนซีเมนต์มันซื้อจากเรา เอาไปทำบังเกอร์ฝ่ายมัน อาหารแห้ง มาม่า ไวไว ฯลฯ มันเอาไปเลี้ยงทหารเขมรมารบกับเรา เราได้อะไรจากเขมรมั่ง ได้มันสำปะหลัง ข้าวโพดราคาถูก????? แล้วเกษตกรบ้านเราล่ะครับ บ้านหนองจานอีก มันยากตรงไหน ผมไม่เข้าใจ ดูข่าวมาเป็นเดือน จัดการไม่ได่ซักที กลัวอะไรมันมิทราบ เฮ้อ หลายคนเค้าก็ด่าไปเยอะละ ไม่รู้คนที่เกี่ยวข้องมันจะสำนึกกันบ้างหรือเปล่า
          ทักษิณ ติดคุกหนึ่งปี ไม่เหนือความคาดหมายจริงๆ ถ้าไม่ออกมารูปนี้ เรื่องนี้ก็จะไม่จบ มารอดูต่อไปว่า แล้วจะเอาอะไรมาเล่นงานเขาอีก ความดีเขาก็มี ความไม่ดีเขาก็มี เหมือนเราๆท่านๆนี่แหละครับ พิจรานาเอาเองครับ แต่สภาพพรรคการเมืองตอนี้ ตามความคิดผมก็คือ ทุกพรรค ได้ถูกทำลายความน่าเชื่อถือลงไปหมดแล้ว ย้ำว่า ทุกพรรคเลยนะครับ ไม่มีเว้น ประเทศประชาธิปไตย ที่มีพรรคการเมืองไม่เข้มแข็ง ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ก็เตรียมตัวไว้เถอะครับ ตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ ก็ ที่อินโดนีเซีย และล่าสุดที่เนปาล ไงล่ะครับ ชัดเจนที่สุด ฉะนั้นใครที่ทำอะไรเอาไว้กับประเทศไทยของพวกเรา ให้เดินมาจนถึงจุดนี้ได้ ก็ให้นึกถึง กรรม เอาไว้มากๆนะครับ กรรมยุติธรรมเสมอ 
        วันนี้ ออกทะเลไปไกลเลยทีเดียว ปรกติผมจะไม่ยุ่งเรื่องการเมืองเลย รักใครชอบใครก็เก็บไว้ในใจเท่านั้น แต่มาถึงวันนี้ก็ขอหน่อยละกันครับ มันอึดอัดจริงๆ
         สุดท้ายนี้ ขอ สดุดีให้กับ ทหารกล้าและประชาชนคนไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการปะทะกับพวกเขมรมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
        ก็เห็นจะมีเพียงเท่านี้แหละครับ ได้ระบายออกไปแล้วค่อยดีขึ้นมาหน่อย ขอให้ทุกท่านโชคดีรับวันใหม่ครับ

....................................................................................................
             5 กันยายน 2568 14:32 น. สวัสดียามบ่ายครับทุกท่าน หลังจากหายไปนาน วันนี้มาแจ้งข่าวให้ทราบว่า แบบเรือทั้งหมดที่ผมมีและตั้งใจจะแจกนั้น ตอนนี้ได้หมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ มีท่านหนึ่งรับไปทั้งหมด เพื่อการศึกษา เรียนรู้และส่งต่อความรู้ให้กับคนอื่นๆ ต่อไป ผมจึงมอบให้ทั้งหมดไปเลย คิดเป็นน้ำหนักก็ หลายกิโลเหมือนกันครับ แต่ถ้าเอาไปชั่งกิโลขายคงจะได้ไม่ถึงยี่สิบบาทแหงๆ  
              ครับ วันนี้ก็คงจะมีเท่านี้ครับ ขอเวลาอีกหน่อย ผมจะกลับมาเล่านิทานต่อครับ 
14:41 น.

....................................................................................................
              11 สิงหาคม 2568 23:27 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน หายไปนานเป็นเดือนเลยครับ ค่อนข้างยุ่งเลยทีเดียวครับ ไว้หายยุ่งแล้วจะกลับมาเล่าเรื่อง เขมร สู่กันฟังครับ ช่วงนี้เอาใจช่วยทหารไทยกันก่อน ตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดนไทยเขมร ขอให้ปลอดภัยกันทุกคนครับ
11:29

....................................................................................................
              21 มิถุนายน 2568 2:42 น. สวัสดียามดึกครับทุกท่าน หายไปหลายวันเพราะมีเรื่องที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อส่ง น้องสาวน้อยของพวกผมไปสู่ในที่ ที่ดีกว่านั่นเองครับ สภาพจิตใจก็เลยไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา บ้านผมได้เสีย ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย และล่าสุดก็น้องสาวสุดท้อง ในช่วงเวลาแค่แปดปีก็ไปแล้วสาม ตามอายุนั่นแหละครับ อายุมากขึ้น โดนโรคภัยไข้เจ็บถามหาเป็นธรรมดา ที่จริงผมเองซะอีกที่น่าจะไปก่อนน้อง แต่ก็ยังรอดอยู่มาได้ถึงวันนี้ ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าของพวกเรา เรารู้ว่าเราอายุเท่าไหร่ ถึงอาจจะไม่ถูกต้องแปะๆ แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่า เราจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ไม่มีทางและเป็นไปไม่ได้ด้วย
            นั่นล่ะครับคือ มนุษย์ ที่อยู่บนโลก ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เป็นอมตะตลอดกาล สักวันก็จะไปกันหมด  เอาอะไรไปก็ไม่ได้สักอย่าง
            แล้วหันมามองโลกทุกวันนี้สิครับ เริ่มเดือดขึ้นทุกวัน รัสเซียกับยูเครน ยังไม่จบ พม่ากับชนกลุ่มน้อยก็ดุเดือดไม่แฟ้กัน ก็มาต่อด้วย อิสราเอลบวกกับสาม ฮ. และหนึ่ง อ. คือ ฮามาส ,ฮูตี ,อฺชบอเลาะห์ และ อีหร่านเป็นรายล่าสุด แต่ในโลกเรายังมีการสู้รบกันอยู่อีกหลายกลุ่มที่ไม่เป็นข่าวใหญ่ เช่น ในคองโกนี่อย่างโหดเลยทีเดียว ฯลฯ คนหนุ่มสาวหายไปมากมาย คนที่เป็นกำลังพัฒนาประเทศหายไปเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เวลาผ่านไปก็ลืมกันหมด แล้วก็มารบกันใหม่ วีรบุรุษที่ตายแล้วไม่มีประโยชน์ครับ ลุกขึ้นมาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เหลือไว้แต่เรื่องราวให้้คนรุ่นหลังจดจำแล้วก็ลืมกันไปในที่สุด เป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดมาบนโลกนี้ แม้ว่าจะมีคนบางกลุ่มบางพวกพยายามจะจัดรายการ รำลึกถึงอยู่ทุกปี แต่ก็นั่นแหละครับ กาลเวลา แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างเสมอมา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสื่อมสลายไป จะเมื่อไหร่เท่านั้นเองครับ
            สงครามระหว่าง อิสราเอลกับอีหร่าน ครั้งนี้ ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ คือ คู่สงคราม อยู่ห่างกันเป็นระยะทางที่ไกลมากๆ อาจจะถึงพันกิโลเมตรด้วยซ้ำ แต่ก็ยังรบกันได้อยู่ดี ถ้าเป็นสมัยโบราณกว่าจะเดินไปถึงคงใช้เวลาเป็นครึ่งปี หรือหนึ่งปีด้วยซ้ำไป แต่ทุกวันนี้ แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็หยิบยื่นความพินาศให้แก่กันได้โดยไม่ยากเลย และก็เป็นอีกหนึ่งสงครามที่ชี้ให้เห็นว่า คุณภาพของคนที่ต่างกัน ความรู้ความสามารถที่ต่างกัน ทำให้ได้เปรียบในการรบเป็นอย่างมาก อีหร่านแทบจะทำอะไรอิสราเอลไม่ได้เลย เพราะเทคโนโลยี่ด้นอาวุธสู้้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง และอิสราเอลก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องขนทหารไปบุกอีหร่านด้วย ในขณะเดียวกัน เรียกได้ว่า อีหร่านก็หมอปัญญาที่ขนทหารมาบุกอิสราเอลเหมือนกัน เพราะถ้ามา ต้องผ่านอีกหลายประเทศ ซึ่งปัจจุบัน ออีหร่านก็เสียการเป็นพัฒธมิตรไปหมดแล้ว เพราะถูกควบคุมด้วนกำลังทางอากาศที่เหนือกว่าอย่าเรียกได้ว่า มหาศาลเลยทีเดียว ผ่านมาหกวัน เครื่องบินรบของอีหร่าน บินขึ้นไม่ได้แม้แต่ลำเดียว วิธีเดียวที่อีหร่านใช้้ก็คือ ยิงจรวดเท่าที่มี ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ใส่อิสราเอล ซึ่งอยู่ไกลออกไปเกือบพันกิโลเมตร ซึ่งหาความแม่นยำไม่ได้เลยจริงๆ และนับเวลาที่ผ่านไป จรวดที่ยิงได้ก็น้อยลงทุกวัน แต่กระนั้นก็มีเรื่องที่น่าตกใจสำหรับผมอยู่เหมือนกันครับ ตรงที่ ล่าสุด อีหร่านได้ยิงจรวดซึ่งว่ากันว่า มันขึ้นไปถึงอาวกาศแล้วกลับลงมาถล่มใส่อิสราเอลได้ และนั่นทำให้ อเมริกา อาจจะกระโจนเข้าร่วมยำอีหร่านเร็วกว่าที่คิด เพราะจรวดประเภทนี้มันยิงได้ไกลมากๆ เป็นภัยคุกคามทุกประเทศในบริเวณนั้นทั้งหมด ถ้าอีหร่านทำระเบิดนิวเคลียได้ และนำมาติดกับจรวดพวกนี้ได้ นึกไม่ออกเลยจริงๆว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบเล็กๆของเราใบนี้ และแน่นอนว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ประเทศ อีหร่าน คงจะโดนลบออกจากแผนที่โลกอน่ๆ แทนที่จะเป็นอิสราเอลที่จะโดนอีหร่ายลบออกจากแผนที่โลกตามที่เคยขู่อยู่บ่อยๆ และจะเป็นที่น่าสงสารที่สุดก็คือ ประชนชาวอีหร่าน ที่ไม่อยากรบ ที่ไม่รู้เรื่องอะไร ก็จะหายไปโดยไม่ได้สั่งลาอะไรกับใครเลยแม้แต่น้อย
           ผมขอภวนาให้สงครามครั้งนี้จบลงอย่างเร็วที่สุดด้วยครับ ไม่อยากรู้ ไม่อยากได้้ยินอีกแล้วว่า มีคนโดนระเบิดตาย เท่านั้น เท่านี่ ฯ ไม่เอาแล้วครับ แค่ใช้้ชีวิตให้อยู่รอด มีความสุขตามอัตภาพไปวันๆ ก็ยากอยู่แล้ว นี่ก็มาอีเรื่องละ เขมร เพื่อระอาจริงๆ ไม่รู้จะกวนโอ้ยไปถึงไหน พอรบกันขึ้นมา ก็มานั่งร้องไห้ เสียใจกันไป สิ่งที่ได้มันคุ้มกันไหม เท่าที่มีอยู่มันยังไม่พออีกหรือครับ ทหารไทย ไม่กลัวใครอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ทหารเลยครับ พวกเราคนไทยทุกคนก็ไม่กลัวเหมือนกัน แต่ถ้ามันจบได้โดยไม่ต้องรบ ไม่ต้องมีทหารฝ่ายไหนตาย มันจะไม่ดีกว่าหรือครับ ทั้งเขาทั้งเราถ้ามีใครตาย คนข้างหลังอีกหลายคนก็เหมือนตายตามไปด้วยเท่านั้น ผมบอกไปแล้วว่า วีรบุรุษ ถ้าตายไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ขนาดไม่ตาย ชีวิตของทหารเหล่านั้นที่ผ่านสงคราม ทำความดีความชอบมามากมายในสนามรบ บางท่านยังต้องมาลำบากในการใช้ชีวิตในปัจจุบันอยู่เลยครับ ข่าวก็ออกอยู่บ่อยๆ ทหารพรานผู้แข็งแกร่ง ปลดออกมาทำงาน ใครไม่รู้ก็ไปดูถูกเขา ดูถูกงานที่เขาทำ มากมายครับ
          ชนะโดยไม่ต้องรบดีที่สุด เราเหนือกว่าเขมรทุกด้าน จะไปรบกับเขาทำไม ใช้ระบบที่เรามีสิครับ การค้า การลงทุน สาธารณูปโภค ฯ สารพัด เอาให้สุดไปเลย ยังไงเขมรก็ต้องยอม ประเทศเขา ประเทศเรา มีศักศรีทั้งนั้นครับ ตอนนี้ เขมรก็พลาดแล้ว ผู้นำเขาเล่นเป็นเด็กๆไปแล้ว แล้วเราจะไปบ้าจี้เล่นเป็นเด็กกับมันทำไมล่ะครับ เชื่อว่า อีกไม่นาน เขมรก็จะเข้ามุมอับแน่ๆ หันไปไหนใครก็ไม่เอาแล้ว แล้วจะไปรบกับมันให้เปลืองลูกปืนทำไมครับ หรือถ้ามันเกินทน ก็เอาให้เรียบ ตัดให้้เกรียนหายไปเลยในแนวชายแดน อย่าให้เหลือเกะกะลูกตา แล้วมาดูซิว่า จะมานั่งร้องไห้ออกทีวี ออกอินเตอร์เนตอีกไหม แต่ขอให้เป็นวิธีสุดท้ายนะครับ เพราะ ทหารก็เป็นคน ไม่ว่าของฝั่งไหน ตายแล้วตายเลย แก้ตัวไม่ได้ แม้เราจะเหนือกว่า แต่ใครจะรับรองได้ไหมว่า ถ้ารบกัน ทหารไทยจะไม่ตายเลยแม้แต่คนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ครับ ตายหนึ่งคน ไม่ใช่ "แค่" หนึ่งคนนะครับ ขอให้คนที่ยุจะให้เรารบกับเขมรคิดให้ดีๆครับ ก่อนที่จะมานั่งเสียใจทีหลัง
          วันนี้เครียดไปเยอะเลย ต้องขออภัยทุกท่านด้วยครับ นี่ก็้ตีสี่อีกแล้ว ลาล่ะครับ อรุณสวัสดิครับทุกท่าน
3:53

....................................................................................................
              27 พฤษภาคม 2568 3:16 น. สวัสดีครับทุกท่าน จะว่าไป ไหนๆก็มาแนวนี้ตั้งสองบทความละ เดี๋ยวมันจะคาใจกันเปล่า ขออีกสักเรื่องก็แล้วกันครับ
             หลายท่านต้องเคยเห็น เคยอ่าน เคยดูสารคดีต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างประหลาด ทั้งหลายที่อยู่บนโลก และยังลามไปดวงจันทร์อีกต่างหาก ซึ่งสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในสารคดีน้ัๆ มักเป็นอะไรที่ใหญ่โตมโหฬารมากๆ เช่น พีรามิด ที่อิยิป ฯลฯ หรือบนดวงจันทร์ก็พวกรูปที่ว่าถ่ายมาได้ มีขนาดใหญ่โตทั้งนั้น ในท้ายที่สุดก็มาลงว่า มนุษย์อย่างเราๆเนี่ย ไม่มีทางสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้แน่ๆ นั่งยัน นอนยัน ยังไงก็ทำไม่ได้อยู่ดี เหตุผลที่ทำไม่ได้ส่วนใหญ่ก็คือ วัสดุที่ใช้สร้างมันใหญ่โตมาก น้ำหนักเยอะ ขนาดใช้เครื่องมือที่มีในปัจจุบันยังทำไม่ได้เลย ประมาณนั้น
      ภาพด้านล่างเคปมาจาก google ครับ

                พีรามิดที่อิยิปครับ


          สโตนเฮ้นจ์ที่อังกฤษ


        รูปปั้นบนเกาะ อีเตอร์


           ภาพสิ่งก่อสร้างแปลกๆบนดวงจันทร์
        นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกเยอะ อยู่ในโซเชียลครับ ทั้งบทความ รูปภาพ และคลิป อีกมากมาย ดูกันตาแฉะเลยสำหรับผู้ที่ชอบทางนี้


      อันนี้เป็นของชนเผ่ามายาแห่ง อเมริกาใต้ส่งเข้าประกวดครับ


            อันนี้ก็ของอเมริกาใต้ครับ


         นี่ก็ของเปรู อเมริกาใต้เหมือนกัน


                ส่วนนี่เป็นภาพบนผนังหิน รวมมาจากหลายสถานที่
         มีอีกเยอะครับ ถ้าสนใจไปค้นดูได้ครับ ในยุคโลกไร้พรมแดน(ถ้าไม่ไปอยู่ในเกาหลีเหนือ หรือ ฯ...)
             ในแต่ละสถานที่ ที่ผมยกมาอ้างอิงนี้ ล้วนมีอายุที่ นักโบราณคดีทั่วโลก(หรือเปล่าไม่รู้)เขาบอกว่า ถูกสร้างมาหลายพันปีแล้ว แต่ไม่มีที่ไหนมีอายุเกินหมื่นปีเลย เท่าที่ผมเคยอ่านเคยดู เคยได้ยินมานะครับ ส่วนใหญ่ที่เก่าที่สุดอยู่ในช่วง 3-4000 ปี เท่านั้นเอง ที่ราบ นาซกา อายุประมาณ 500ปี ก่อนคริสตกาล ก็น่าจะ 2500 กว่าปีมาแล้วนี่เอง อยู่สมัยเดียวกับพระพุทธเจ้าเรานี่เองครับ ไม่เก่าเท่าไหร่
           การมีอยู่ของสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ยังไม่น่าสนใจเท่ากับว่า ใครมาสร้างเอาไว้ และสร้างมันยังไง สร้างแล้วเอาไปใช้ทำอะไร นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด เรื่องพวกนี้ เพิ่งมามีความสำคัญเมื่อร้อยกว่าปีมานี่เองนะครับ เมื่อเทคโนโลยี่ของมนุษย์เจริญขึ้นในทุกด้าน ก็เริ่มมีคนหันมาสนใจมากขึ้น ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นมายิ่งไปกันใหญ่ ไอ่เก่าเท่านั้นเท่านี้ มันทำได้ไง เรายังทำไม่ได้เลย ว่าเข้าไปนั่น
           ถ้ามีคนมาถามผมเรื่องพวกนี้ว่าใครสร้าง ผมจะตอบว่า มนุษย์เป็นคนสร้างทั้งนั้นแหละครับ แต่ว่าสร้างเมื่อไหร่ไม่รู้ เอางี้ คุณหยิบหินมาก้อนนึง แล้วบอกได้ไหมครับว่ามันมีอายุเท่าไหร่ ถามผม ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะครับ แล้วถ้าหินที่ยังไม่ได้ตัดแต่งเป็นรูปทรง กับหินดิบๆเนี่ย อายุมันจะเท่ากันไหมครับ หรืออีกนัยนึง หินดิบอายุเท่าไหร่ เมื่อเอามาตัดแต่งแล้ว อายุมันยังเหมือนเดิมไหมล่ะครับ
         หรือมองสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นก็ได้เช่น ภูเขา คุณว่ามันมีอายุเท่าไหร่ครับ และถ้ำที่อยู้ในนั้นมันเกิดมาพร้อมภูเขาเลยไหม และอีกที รูปที่วาดลงไปบนผนังถ้ำจะมีอายุเท่าไหร่ครับ อันนี้ นักโบราณคดีเขาตอบมาแล้วหลายภาพหลายถ้ำมาก บางภาพก็หลายพันปี บางภาพก็เป็นหมื่นปี ตามอายุสีที่หาได้จากกระบวนวิทยาศาสตร์นั่นเอง แต่จะแม่นขนาดไหน ผมก็ไม่รู้
          นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไดโนเสาร์หายไปเมื่อ 65 ล้านปีแล้ว หลังจากที่มันย่ำอยู่บนพื้้นโลกมา 250 ล้านปี จนกระทั่งหายไปเมื่อ 65 ล้านปีดังที่ว่าไว้ สมุติว่า หลังจากไดโนเสาร์หายไปแล้ว หนึ่งล้านปี เกิดมี มนุษย์ อย่างเราๆเกิดขึ้นมาแทน คุณว่ามันจะเป็นยังไงครับ หรือกลับกัน ถอยหลังไป 243 ล้านปีก่อนมีไดโนเสาร์ ดันมีมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้ว คุณจะคิดยังไงล่ะครับ
      ข้อมูลข้างล่างมาจาก google ครับ
ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ( สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) ประมาณ 5,500 ชนิด ใน 29 อันดับ ชั้นย่อย โปรโตเทอเรีย ( โมโนทรีม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่วางไข่ ที่นี่มี 5 ชนิดที่ได้รับการจำแนกเป็น 2 อันดับ แต่โดยทั่วไปแล้ว โมโนเทรมจะได้รับการจำแนกร่วมกันในอันดับเดียว คือ โมโนเทรมาตา
      ไดโเสาร์ที่เดินต้วมเตี่ยมอยู่บนโลกเมื่อก่อน 65 ล้านปีมานี้มีอยู่ประมาณ 1000 สายพันธุ์ เขาว่ามาอย่างนั้น
      แล้วมนุษย์ล่ะครับมีกี่สายพันธุ์

มนุษย์มีกี่สายพันธุ์
3 สายพันธุ์หลักๆ ได้แก่ โฮโม แฮบิลิส (Homo habilis), โฮโม อีเรกตัส (Homo erectus), และ โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) โฮโม แฮบิลิส มีขนาดสมองประมาณครึ่งหนึ่งของขนาดสมองของมนุษย์ปัจจุบัน มี ใบหน้าใหญ่ และฟันก็ยังมีขนาดใหญ่พอสมควร ปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ 2-1.5 ล้านปี
     มีอยู่สามสายพันธุ์เกิดมาหลังจากไดโนเสาร์หายไป 63 ล้านปีที่แล้วนี่เอง แล้วเวลา 60 กว่าล้านปีที่ผ่านมา จะไม่มีมนุษย์พันธุ์อื่นๆเกิดขึ้นมาเลยเชียวหรือครับ นี่ขนาดพวกเราโผล่มาแค่ 1.5-2 ล้านปี ก็แทบจะถล่มโลกกันให้วายป่วงไปแล้ว แล้วที่ผ่านมานานแสนนานนั้น จะเคยมีมนุษย์อย่างเราๆ มาถล่มกันเละเหมือนปัจจุบันไหมล่ะครับ 
      และปัจจุบันเหลือมนุษย์อยู่สายพันธุ์เดียวคือ โฮโม เซเปี้ยนล์
โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) หรือมนุษย์ยุคปัจจุบัน วิวัฒนาการขึ้นในทวีปแอฟริกาเมื่อประมาณ 300,000 ปีก่อน. จากนั้น พวกเขาได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกและยังคงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยังคงอยู่บนโลกในปัจจุบัน. 
      เพิ่งจะมีมาเมื่อสามแสนปีก่อนนี่เอง แล้วหกสิบกว่าล้านปีที่ผ่านมาหลังจากไดโนเสาร์ลาโลกไปแล้ว จะไม่มีมนุษย์ที่ฉลาดอย่างนี้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้มั่งเลยหรือครับ บางคนอาจแย้งว่า ถ้ามี เขาก็ต้องขุดเจอกันมั่งล่ะน่า ก็ถูกครับ ถ้ามียังไงมันต้องเจอสักชิ้นสองชิ้นมั่งล่ะ แต่นี่เงียบกริบ เจอแค่สามสายพันธุ์เมื่อ สองล้านปีที่แล้วนี่เอง ทีไดโเสาร์  สองร้อยกว่าล้านปียังขุดเจอเลย ทำไมไม่เจอ มนุษย์มั่งเลยนะ น่าสงสัยจริงๆครับ 555555
     ผมก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยอะครับ ถือว่าคุยกันสนุกๆนะครับ อย่าไปเครียดกับมันมาก

     ภาพจาก google ครับ

             นี่ครับ บรรพบุรุษของพวกเรา
        ความเจริญของมนุษย์ยุคปัจจุบันใช้เวลาพัฒนา สามแสนปี แต่ในช่วงสองร้อยปีล่าสุดนี่ พวกเราพัฒนาแบบก้าวกระโดดกันเลทีเดียว ยิ่งร้อยปีล่าสุดนี่ เราก็เดินทางไปในอากาศด้วยความเร็วระดับหนึ่ง ผ่านมาอีกสามสิบปี หรือ เจ็ดสิบกว่าปีที่แล้ว เราเดินทางในอากาศได้เร็วกว่าเสียงถึงสองเท่า แถมยังทำระเบิด มาพังทั้งเมืองด้วยระเบิดเพียงลูกเดียว ทำคนตายเป็นหลายแสนคนอีกต่างหาก และจากนั้นไม่กี่ปี เราก็ออกไปล่องลอยในอาวกาศกันได้แล้ว จนกระทั่ง สามารถไปเหยียบดาวดวงอื่นที่ไม่ใช่โลกได้อีกต่างหาก และปัจจุบัน เราสามารถไปถ่ายรูปดวงดาวที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุดในระบบสุริยะได้แล้วเมื่อสิบปีที่แล้วนี่เอง และสมารถมองออกไได้ไกลถึง สี่พันกว่าล้าน ล้าน กิโลเมตร
       ลองนึกดูว่า ถ้าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบนโลกเมื่อสามร้อยล้านปีที่ผ่านมา เราในยุคปัจจุบันจะมีโอกาศ หรือวิธิอะไรที่จะรู้มั่งไหมครับว่า มันเคยเกิดเรื่องอย่างนี้มาแล้วในอดีตของโลกเรานี้ ถ้าให่ผมตอบ ผมขอตอบว่า ไม่มีทาง แม้ว่าจะไปขุดตรงไหน เจาะลงไปลึกเท่าไหร่ พวกเราก็จะไม่มีวันรู้หรือเห็นหลักฐานการมีอยู่ของมนุษย์เมื่อ สามหรือสี่ร้อยล้านกว่าปีก่อนแน่ๆครับ
แต่ก็นั่นแหละครับ จะมีหรือไม่มี ก็ไม่สำคัญ เพราะมันหาไม่เจอ ก็ถือว่าไม่มี ถ้ามันมี สักวันก็จะหาเจอแน่นอน แต่ถ้าเจอแล้วจะเป็นยังไงหรือครับ ชีวิตพวกเราก็ไม่ต่างไปจากทุกวันนี้อีกเหมือนกัน 
      ดังนั้น ขอจบดื้อๆแบบนี้แหละครับ ตีห้ายี่สิบละ ขอตัวไปนอนก่อนแล้วครับ อรุณสวัสดิครับทุกท่าน
5:21

....................................................................................................
              25 พฤษภาคม 2568 3:19 น. สวัสดีครับทุกท่าน มาโมัต่อจากเมื่อวาน มันกลายเป็นเรื่องของ มนุษย์ที่อยู่คนละโลกกับเราไปแล้ว
มาดูคลิปกันก่อนครับ ได้มาจาก www.youtube.com 

            จากคลิปจะเห็นว่า จักวาลตามที่นักวิทยาศาสตร์เขาได้สำรวจ ค้นคว้าและคิดมาดีแล้วบอกว่า เท่าที่เราจะเห็นได้มันมีอยู่ประมาณนี้ ซึ่งก็มีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารมากๆ นี่เท่าที่มองเห็นได้นะครับ แล้วที่ไกลออกไปมากกว่านี้ที่ยังมองไม่เห็นยังมีอีกเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรู้
             ทีนี้ถ้าสมมุติว่า มีมนุษย์อยู่บนดาวดวงไหนก็แล้วแต่ มีเทคโนโลยีแบบสุดล้ำทุกด้าน ต้องการจะมาหาเรา คุณว่าเขาจะหาเราเจอไหมครับ เอาความจริงที่ว่า เฉพาะในระบบสุริยะของเราที่มีดาวเคราะห์อยู่เก้าดวงนี้ ไม่มี หรือไม่น่าจะมีแน่ๆ ที่ผมว่าอย่างนี้เพราะว่า ถ้ามีมนุษย์ที่เจริญเหมือนหรือมากกว่าเราอยู่ในระบบสุริยะเดียวกับเรา รูปร่างหน้าตาอาจจะไม่เหมือนเรา แต่เขาก็จะต้องรู้ต้องเห็นเหมือนเราแน่ๆ เรามี่การสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุ เขาก็จะต้องมี เรามีอะไร เขาก็ต้องมีเท่าหรือเหนือกว่าเราแน่ๆ แม้จะอยู่ไกลกันมาก แต่ก็ไม่ไกลเกินที่เราจะไปมาหาสู่กันแน่นอน เพราะอย่างน้อย เราก็เอา ดาวเทียว หรือยานอวกาศไปโฉบมาแล้วทุกดวงดาว ในระบบสุริยะของเรา เขาจะไม่เห็นเลยเชียวหรือ และเราจะถ่ายรูปเขาไม่ได้สักเฟรมเลยหรือ ถ้ามีอยู่จริง มันต้องปะกันสักหนแล้วน่า
             แต่นี่ เราไปเหยีบดวงจันทร์มาตั้งเกือบหกสิบปีแล้ว แถมยังบินว่อนไปทั่วยันดาวพลูโตอีก แต่ไร้วี่แวว แม้แต่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เรายังหาไม่เจอเลย อย่างมากก็อ้างว่า เจอ ซากของจุลินทรีย์ขนาดเล็กบนดาวอังคารเท่านั้น จริงป่าวก็ไม่รู้
             ถ้าในระบบสุริยะของเราไม่มี งั้น ออกไปข้างนอกก็ได้ ระบบสุริยะที่มีดาวงอาทิตย์เป็นสูนย์กลางมีดาวเคราะห์โคจรอยู่รอบๆ เหมือนกับระบบสุริยะของเราที่อยู่ใกล้สุดก็คือ 
ระบบดาวที่อยู่ใกล้ระบบสุริยะมากที่สุดคือ อัลฟา เซนทอรี (Alpha Centauri) อัลฟา เซนทอรีเป็นระบบดาวฤกษ์สามดวง ที่อยู่ห่างจากโลกประมาณ 4.2 ถึง 4.4 ปีแสง ดาวฤกษ์หนึ่งในระบบนี้คือ พร็อกซิมา เซนทอรี (Proxima Centauri) ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่ใกล้โลกที่สุดรองจากดวงอาทิตย์
               เอามจาก google ครับ ใกล้กับเรามากที่สุดก็เป็นเจ้านี่แหละครับ อัลฟา เซนเทอรี่ ห่างจากเรา 4.2-4.4 ปีแสง ด้วยความเร็วของยานอวกาศของเราในปัจจุบัน ถ้าจะไปให้ถึงที่นั่น มีคนคิดเป็นตัวเลขกลมๆออกมาแล้วว่า ต้องใช้เวลาเดินทาง 40,000 ปี...............แฮ่ๆ ใครอยากไปมั่งครับ ในทางกลับกัน ถ้าที่นั่นมีใครอยู่และมีเทคโนโลยีเหนือกว่าเรา เขาจะมองไม่เห็นเราเลยหรือครับ เขาจะไม่อยากมาดูพวกเรามั่งเลยหรือ ในเมื่อไม่มาผมก็ขอคิดว่ามันไม่มีก็แล้วกันครับง่ายดี ไม่ต้องคิดเยอะ
          ภาพด้านล่างมาจาก : www.youtube.com ผมแคปหน้าจอครับ

                ภาพนี้แสดงถึงแถบ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความถี่ต่างๆ จากซ้ายมือเป็นความถี่ต่ำ ความยาวคลื่นก็ยาวมาก ไปจนสุดขวามือ เป็นความถี่สูงมีความยาวคลื่นสั้นมากๆ ก ไก่ล้านตัวเลยทีเดียว

     ภาพด้านล่างมาจาก google ครับ

            ความยาวคลื่นก็ตามคำอธิบายในภาพข้างบนเลยครับ จากภาพแรก WAVELENGTH จะเห็นช่วงที่เป็นสี เริ่มจากสีแดงมืดๆ ไปทางขวาจนสุดที่สีม่วงมืดๆ ช่วงนี้เป็นช่วงความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตาของมนุษย์อย่างเราๆมองเห็นได้ถ้าไม่เป็นโรคตาบอดสีนะครับ และนั่นก็เป็นช่วงคลื่นที่กล้องโทรทัศน์ต่างๆ ที่ส่องออกไปนอกโลกสามารถบันทึกภาพได้้เหมือนกัน และได้พัฒนาจนสามารถบันทึกภาพของช่วงคลื่นที่สูงกว่านี้ได้อีกด้วย และแน่นอน ช่วงที่คลื่นมีความถี่ต่ำกว่าสีแดง ก็มีกล้องที่สามารถบันทึกออกมาเป็นภาพได้เหมือนกัน ส่วนคลื่นที่เราใช้สื่อสารกันในปัจจุบันก็อยู่แถวซ้ายมือไปจนถึงระดับความยาวคลื่นเป็น ไมคร่อน(micron)นั่นแหละครับ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ มือถือ เรด้าห์ หรือระบบนำวิถีต่างๆของทั้งยานพาหนะเช่น เครื่องบิน เรือ  หรือ อาวุธจรวดต่างๆ ก็ใช้คลื่นพวกนี้ ค้นหา และนำทางเข้าสู่เป้าหมาย ทั้งนั้นครับ สาเหตุหลักที่ใช้ช่วงคลื่นแถบนี้ก็เพราะว่า มันใช้พลังงานไม่มากในการสร้างหรือผลิตคลื่นความถี่ที่เราต้องการ แต่ถ้า ขยับไปใช้ช่วงคลื่นในแถบขวามือ ที่มีช่วงคลื่นที่สั้นมากๆ มันต้องใช้พลังงานมากขึ้น และมีผลข้างเคียงตามมาเช่น เกิดการแผ่รังษี อันตรายต่อร่างกาบของมนุษย์ออกมาด้วยนั่นเอง แค่โดน UVที่มากับแสงแดดตามธรรมชาติ ก็แย่แล้วครับ
         ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก็เพราะว่า ตั้งแต่เราใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสื่อสาร ทั้งโทรเลขมีสายและไร้สายเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วนั้น คลื่นที่ถูกส่งออกไปบางส่วนมันไปตามสายโทรเลขก็จริง แต่บางส่วนมันกระจายออกไปเป็นลูกบอลรอบเครื่องส่งโดยมีความเร็วเท่าความเร็วแสง และมีระยะไม่จำกัดถ้าไม่มีอะไรมาขวางทางมัน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็แน่นอนว่า คลื่นที่เราสื่อสารกันบนพื้นโลก บางส่วนของมันได้กระจายออกจากโลกสู่อวากาศเป็นที่เรียบร้อบด้วยความเร็วแสงซะด้วย และต่อมาไม่ใช่แค่โทรเลขซึ่งเป็น รหัสมอส มีแต่จุดๆๆ เท่านั้น ต่อมามีการออกอากาศของสถานนีวิทยุ มีเสียงออกไปด้วย แล้วก็ตามมาด้วยทั้งภาพและเสียงอย่างเช่นในปัจจุบัน และแน่นอนว่า คลื่นที่มีสัญญาณทั้งภาพและเสียง ได้ถูกส่งออกอากาศ ไปทั่วทั้งโลกและออกไปสู่อวกาศอันกว้างใหญ่ โดยไม่มีที่สิ้นสุดถ้าไม่ไปชนอะไรเข้า หรือถึงแม้จะไปชนอะไรบางอย่างก็อาจจะมีคลื่นบางส่วนสะท้อนเปลี่ยนทิศทางได้อีกต่างหาก เหมือนแสงที่เราเห็นจากดวงดาวต่างๆในเวลากลางคืนนั่นแหละครับ
          คุณว่าตาของมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆเนี่ยมองเห็นได้ไกลขนาดไหนครับ คำถามนี้ผมเคยถูกถามพร้อมเพื่อนๆครั้งแรกตอนเรียน ปวช1 คำถามนี้มาจาก อาจารย์หัวหน้าแผนกที่ผมเรียนนั่นแหละครับ ทุกคนพอได้ยินคำถามก็อึ้งกันไปหมด นึกในใจว่า เออ เรามองเห็นได้ไกลขนาดไหนฟะ และแล้วก็มีผู้กล้าค่อยๆเอ่ยเสียงค่อยๆออกมาว่า 93 ล้านไมล์ครับ !!!!!!! ฮือฮากันทั้งห้อง ซวยแล้วมึง 5555555 แต่ๆๆๆๆ มันตอบไม่ผิดครับ
เพราะทุกคนมองเห็นดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกเรา 93 ล้านไมล์ ตามตำราที่เคยอ่านมา



          ข้อมูลข้างบนมาจาก google ครับ
       จากตัวเลขข้างบน ความกว้างของกาแลคซี่ทางช้างเผือก เมื่อเที่ยบ
กับคลื่นวิทยุ โทรเลข โทรทัศน์ ที่ถูกส่งออกไปจากโลก เมื่อเกือบร้อยปีที่
แล้ว มันไปได้แค่ไกลแค่ ไม่ถึง ร้อยปีแสงเลยครับ เป็นเหมือนเม็ดฝุ่นเล็กๆ
ในกาแลคซี่ของเราเท่านั้นเอง มองด้วยตาเปล่าก็ไม่เห็น และแน่นอนว่า
ในรัศมี ร้อยปีแสงนี้ ไม่มีใครได้รับขัอมูลที่ไปกับคลื่นเหล่านี้ได้เลย หรือถ้า
รับได้ และอยากจะส่งข้อมูลมาหาเรามั่ง ก็คงต้องใช้เวลาเดินทางของคลื่น
เป็นเวลานานอาจจะ ห้าสิบปีหรือร้อยปีข้างหน้า ก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่มีอะไร
ส่งกลับมา ก็แปลว่า ในรัศมี ร้อยปีแสง ไม่มีมนุษย์ หรือผู้รู้อย่างเราๆอยู่เลย
ก็เป็นได้ หรือไม่อีกอย่างก็คือ เขาได้รับข้อมมูลแล้วแต่ไม่อยากยุ่งกับพวก
เราก็เป็นไปได้เหมือนกัน ส่วนดางดาวที่อยู่ไกลกว่านั้นก็เลิกหวังได้เลยครับ
เพราะคลื่นที่เราส่งออกไปยังเดินทางไปไม่ถึง
          ที่ผมเน้นเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็เพราะมันเปรียบเสมือนเป็น ภาษา
สากลของจักวาลอันกว้างใหญ่นั่นเอง เหมือนแสงที่เรามองเห็นจากดวงดาว
ต่างๆบนท้องฟ้ายามค่ำคืนนั่นแหละครับ และไม่แน่ว่า ดาวบางดวงที่เราเห็น
อยู่ทุกค่ำคืนนั้น ในเวลาที่เราเห็น กับตำแหน่งจริงๆที่มันอยู่นั้น มันจะยังอยู่
ที่เดิมเหมือนที่เราเห็นหรือเปล่า มันอาจจะเคลื่อนที่ห่างออกไปอีก หรือดาว
บางดวงมันอาจจะแตกสลายไปแล้วก็ได้ แต่ที่เราเห็นว่ามีดาวดวงนั้นอยู่ก็
เป็นเพียงแสงที่มาจากอดีตอันแสนนานระยะทางอันแสนไกลก็ได้เหมือนกัน
เหมือนคลื่นต่างๆที่ออกจากโลกนี้ไป หากอีกร้อยปีข้างหน้า โลกแตกสลาย
ไปแล้ว แต่ว่า แสงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งออกจากโลกมันยังเดินทาง
อยู่ในอวกาศทั้งๆที่ต้นกำเนิดแสงและคลื่นนั้นมันได้หายไปแล้วก็ตาม
           นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ดาวบางดวง กาแลตซี่บางแห่ง มันอยู่ห่าง
จากโลกเรา หลายพันปีแสง หรืออาจจะหลายพันล้านปีแสงก็มี ซึ่งอายุของ
โลกเราก็แค่ 4500 ล้านปีเอง มันจึงเป็นเรื่องที่ผมคิดว่า เอามาคุยกันเล่นๆ
สนุกๆกันเท่านั้นเองครับ อย่าไปคิดมาก เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านว่า
อะไรที่รู้แล้วไม่เป็นประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์ ก็อย่าไปเสียเวลากับมันเลย
          สรุปคือ ไม่ว่าข้างนอกนั่นจะมีมนุษย์เหมือนเราหรือเหนือกว่าเรา มัน
ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องมานั่งเอาเป็นเอาตายกับมันหรอกครับ ถ้ามีจริง สักวัน
พวกเขาก็จะมาหาเราเองนั่นแหละครับ หรือถ้ามีแต่มาไม่ได้มันก็เหมือนไม่มี
อยู่ดี ความจริงมีเรื่องจะโม้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกเยอะครับ แต่ตอนนี้เอาเท่า
นี้ก่อนดีกว่า เดียวจะเบื่อกันซะเปล่าๆนี่ก็เช้าแล้ว ฟ้าสางแล้วครับ
         อรุณสวัสดิครับทุกท่านขอตัวไปนอนก่อนครับ อ้าว พัดลม ลาโลกไปอีก
เครื่องละ เฮ้อ...........
5:46 น.

.....................................................................................................
             24
 พฤษภาคม 2568 2:31 น. สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ครบรอบ เจ็ดปีพอดีกับการทำเวปนี้ เวลาไม่เคยคอยใคร นี่ถ้าผมหยอดกระปุกวันละยี่สิบบาทในวันเริ่มต้นทำเวปนี้โดยไม่เอาออกมาใช้ ตอนนี้ผมจะมีเงินเก็บอยู่.....คิดแปปนึง วันละยี่สิบ สามสิบวันก็ หกร้อยบาท หนึ่งปีก็ เจ็ดพันสองร้อยบาท เจ็ดปีก็ 50,400 บาทถ้วน !!!!!!!!!! โอ้แม่จ้าวววววววววววว ผมพลาดไปแล้วจริงๆที่ไม่ได้ทำตั้งแต่วันนั้น แค่วันละยี่สิบบาทเอง ไม่งั้นป่านนี้ผมจะมีเงินมาแก้ปัญหาหลายๆอย่างในปัจจุบันได้เลยทีเดียว ฝากให้เป็นข้อคิดสำหรับพี่ๆ น้องๆ กันครับ เวลามันผ่านไปเร็วมาก และกับเงินแค่วันละยี่สิบบาททุกวัน มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปเลยก็ได้ครับ แต่ตอนนี้ผมเริ่มแล้วครับ ถ้าอีกห้าหรือเจ็ดปีข้างหน้าผมยังไม่ตาย ผมจะมีเงินที่เก็บได้ไม่ต่ำกว่า ห้ามื่นบาทแน่นอน 5555555555
             คราวที่แล้วผมพาทุกท่านขึ้นฟ้า ไปโฉบเฉี่ยวกับการรบทางอากาศสมัยใหม่ที่นอกจากจะสู้กันด้วยอาวุธทันสมัยต่างๆแล้วยังต้องสู้กันด้วย คลื่นวิทยุ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อีกด้วย ใครถูกเห็นก่อน แพ้ แน่ๆ
           วันนี้ผมจะพาทุกท่านออกไปนอกโลกกันครับ ก่อนอื่นเรามาดูคลิปนี้กันก่อน : คลิปนี้มาจาก www.youtube.com ครับ

             จากคลิปจะเห็นว่า โลกเราและดาวดวงอื่นๆไม่ได้โครจรรอบดวงอาทิตย์เหมือนอยู่บนจานแบนๆนะครับ ดาวบริวานของดวงอาทิตย์ทุกดวง รวมถึงดวงอาทิตย์เอง ก็ไม่ได้หมุนอยู่กับที่ แต่ละดวงหมุนรอบตัวเองแล้วก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ ส่วนดวงอาทิย์นอกจากหมุนรอบตัวเองแล้วมันยังหมุนรอบใจกลางกาแลคซี่ทางช้างเผือกอีกด้วย ซึ่งมันก็จะพาดาวบริวานทั้งหมดของมันหมุนตามใจกลางกาแลคซี่ไปด้วยเหมือนกัน เรียกว่า หมุนซ้อนหมุนกันเลยทีเดียว และยิ่งไปกว่านั้น กาแลคซี่เองก็เคลื่อนที่ไปด้วย งงตายเลยทีนี้ 5555555 นี่ยังไม่รวมพวกดวงจันทร์บริวานของดาวต่างๆอีกมาก ดาวเคราะห์น้อยอีกนับไม่ถ้วน ที่ถูดวงอาทิตย์พาไปอีก
     ข้อมูลข้างล่างเอามาจาก กูเกิล ครับ
“ปีแสง” หรือ Light Year คือระยะทางที่แสงสามารถเดินทางใน 1 ปี หน่วยเล็กของเวลาที่เราคุ้นกันคือ วินาที นั่นเอง และในทุกๆ 1 วินาที แสงสามารถเดินทางได้ประมาณ 300,000 กิโลเมตร แล้วใน 1 ปีมี 31,536,000 วินาที หากเอามาคูณ 300,000 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นใน 1 ปีแสง จะเดินทางไกลประมาณ 9 ล้านล้านกิโลเมตร
หน่วยดาราศาสตร์: ระยะทางในระบบสุริยะมักวัดเป็น หน่วยดาราศาสตร์ (ย่อว่า AU) หน่วยดาราศาสตร์คือระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์: 1 AU = 1.496 x 10 8 กม. = 93 ล้านไมล์  
     
ระยะทางระหว่างดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีความแตกต่างกันมาก และมักจะถูกวัดเป็นหน่วยดาราศาสตร์ (AU) ซึ่งเป็นระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ (ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร).
     ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ (ในหน่วย AU):

  • ดาวพุธ: ประมาณ 0.39 AU.
  • ดาวศุกร์: ประมาณ 0.72 AU.
  • โลก: 1 AU (โดยนิยาม).
  • ดาวอังคาร: ประมาณ 1.52 AU.
  • ดาวพฤหัสบดี: ประมาณ 5.2 AU.
  • ดาวเสาร์: ประมาณ 9.58 AU.
  • ดาวยูเรนัส: ประมาณ 19.20 AU.
  • ดาวเนปจูน: ประมาณ 30.05 AU. 
ระยะทางระหว่างดาวเคราะห์ (ในหน่วย AU):
  • ระยะห่างระหว่างโลกและดาวพฤหัสบดี: ประมาณ 4.2 AU. 
  • ระยะห่างระหว่างดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์: ประมาณ 4.38 AU. 
  • ระยะห่างระหว่างดาวเสาร์และดาวยูเรนัส: ประมาณ 9.62 AU. 
  • ระยะห่างระหว่างดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน: ประมาณ 10.8 AU. 
หมายเหตุ: ระยะทางที่ระบุข้างต้นเป็นค่าเฉลี่ย และวงโคจรของดาวเคราะห์แต่ละดวงไม่ใช่วงกลมแบบสมบูรณ์ แต่เป็นวงรีเล็กน้อย ทำให้ระยะทางระหว่างดาวเคราะห์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา. 
แหล่งข้อมูล:
NASA Science (.gov), OECD, Wikipedia.

         ฮ่าๆๆๆ แค่เห็นตัวเลขก็ปวดหัวแล้วครับ เอามาลงแต่ว่าอย่าไปสนใจมันเลยครับ ผมแค่ใช้อ้างอิงกว้างๆเท่านั้นเอง เพื่อจะบอกว่า เฉพาะระบบสุริยะของเรามันกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหนเท่านั้นเอง

      ระยะห่างเฉลี่ยของดาวพลูโตจากดวงอาทิตย์คือ 3,670,050,000 ไมล์ (5,906,380,000 กิโลเมตร) เนื่องจากดาวพลูโตมีวงโคจรที่เป็นรูปวงรีมาก จึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างระยะห่างที่ใกล้ที่สุดจากดวงอาทิตย์และระยะห่างที่อยู่ไกลที่สุดจากดวงอาทิตย์ ดาวพลูโตที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดคือ 2,756,902,000 ไมล์ หรือ 4,436,820,000 กิโลเมตร 
         
ยานอวกาศนิวฮอไรซันส์ถูกปล่อยจากโลกด้วยความเร็วประมาณ 16.26 กิโลเมตรต่อวินาที (หรือ 58,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง). ความเร็วนี้เป็นสถิติสูงสุดของยานอวกาศที่มนุษย์สร้างขึ้น. 
          จากข้อมูลข้างบน ขนาดยานที่เร็วที่สุดที่มนุษย์สร้าง ถูกปล่อยออก
จากโลกในปี พ.ศ. 2549 ไปถึงดาวพลูโตปี พ.ศ. 2558 ใช้เวลาเดินทาง
เก้าปีกว่าๆ ถ้าเราต้องการไปไกลกว่านั้น ออกจากทางช้างเผือก พวกเรา
คงตายกันหมดแล้งแหงๆ เอาแค่ในระบบสุริยะของเราถ้าจะไปให้ครบทุก
ดวงก็คงต้องเป็นรุ่นลูก หลาน เหลน ฯ กันนั่นแหละครับ
           ที่นี้มาถึงเรื่องที่ผมตั้งใจจะบอกละ คือว่า ด้วยระยะทางที่ไกลมาก
บวกกับความเร็วในการเดินทางในอวากาศของมนุษย์ปัจจุบัน มันเป็นไป
ไม่ได้เลยที่เราจะออกจากกาแลซี่ทางช้างเผือกโดยที่เรายังมีชีวิตอยู่ อย่า
ว่าแต่ออกไปเลยครับ ไปแค่ระบบสุริยะอื่นๆในกาแลตซี่ทางช้างเผือกก็เป็น
ไปไม่ได้เหมือนกัน นอกจากเราจะสร้างยานลำใหญ่ๆ ใส่คนไปเยอะๆ ปลู
กพืชเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร แล้วก็ขยายพันธ์มนุษย์ไปด้วย ก็อาจจะพอเป็้น
ไปได้ถ้าไม่ตายกันหมดซะก่อน
         มนุษย์เพิ่งจะเดินทางในอากาศได้เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง และ
หลักฐานการมีมนุษย์ยุตปัจจุบันก็ถอยหลังไปไม่กี่หมื่นปีนี่ เองหมายถึง
มนุษย์แบบเราๆท่านๆนะครับ ไม่นับพวกที่คล้ายๆลิงอะไรพวกนั้น และเรา
ก็สื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ไม่ถึงร้้อยปีด้วยซ้ำ 
        ข่าวเรื่อง UFO ย้อนไปก็เห็้นกันมาตั้งแต่มนุษย์ รู้จักวาดรูปโน่นเลย
แต่มาเป็นเรื่องเป็็นราวก็ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนี้เองครับ เริ่มมีคนบอก
ว่า เห็นละ เรื่อยมาจนกระทั่งถ่ายรูปได้ก็มี เอามาเผยแผ่เต็มไปหมด
ยิ่งในปัจจุบัน เป็นยุคโซเชียล ยิ่งมีรูปและคลิปต่างๆออกมามากมาย แต่ ก็
เป็นภาพมัวๆมั่ง เบลอๆมั่ง มองไม่เห็นรายละเอียดมากนัก แต่ไม่ว่าจะมีรูป
ร่างหน้าตาอย่างไร ก็มีลักษณะเด่นที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือเรื่อง
ของ ความเร็ว และทิศทางการเคลื่อนที่ การที่จะบอกว่าเป็น UFO ได้ใน
สายตาของชาวโลกยุคนี้ ต้องมีสองอย่างนี้ด้วย ไม่งั้นเป็นไม่ได้ครับ 555
       สมมุติว่า UFO มีจริงก็แล้วกันนะครับ คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วมัน
หายไปไหนหมด โผล่มาตรงนั้นทีก็แบบนึง ตรงนี้ทีก็แบบนึง ไม่มีคลิป
ไหนที่ UFO มีหน้าตาเหมือนกันเลย ถ้าไม่เชื่อผมก็ลองไปหาดูได้เลยครับ
รูปร่างหน้าตาไม่ซ้ำกันสักรูปสักคลิปเลย
       และการที่เราจะออกไปค้นหาก็ลืมได้เลย ไปไม่ถึงในยุคนี้แน่นอน
แต่ทำไมเขามาหาเราเจอแล้วไม่มาคุยกันนี่สิ มันแปลกๆอยู่นา เหมือน
ไม่ให้เกียรติกันยังไงก็ไม่รู้ มาบ้านเค้าแล้วไม่มาทักทายเจ้าของบ้าน ถือ
ว่าเสียมารยาทมาก 555555555555
       หรือคิดอีกอย่าง เขาอาจจะทำเหมือนเราคือ ส่งแต่ยานสำรวจมาเท่า
นั้นส่วนตัวเป็นๆก็นั่งอยู่ที่โลกของเขาคอยรับข้อมูลอย่างเดียว เพราะด้วย
ระยะทางที่ไกลมากๆ อาจจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่เรามีชีวิตยืนยาวไม่พอ
ที่จะเดินทางไปได้ไกลเป็นหลายร้อยปีแสงก็เป็นไปได้เหมือนกัน แม้ว่า
เทคโนโลยี่ของเขาอาจจะล้ำมากๆ มียานอวกาศที่เดินทางได้เร็วกว่าแสง
หลายเท่า หรือ อาจจะมุดรูอะไรมาก็แล้วแต่ แต่อย่าลืมว่า ทั่วทั้งจักวาลที่
เราสังเกตุได้ มันไม่ได้อยู่นิ่งๆ มันเคลื่อนที่ตลอดเวลา ยิ่งไกลกันมาก
ความเร็วในการเคลื่อนที่ก็ต่างกันมาก เหมือนทางช้างเผือของเรา ที่เขา
ทำรูปออกมาให้เห็นว่าเป็นเหมือนกงจักร มีหลายแขน หมุนรอบตัวเองและ
ทั้งหมดก็เคลื่อนที่ไปด้วย แต่ไม่รู้ว่า เคลื่อนที่ไปไหน เมื่อเที่ยบกับอะไร ก็
เหมือนใบพัด หรือพัดลม ที่ปลายใบพัดจะเคลื่อนที่เร็วกว่าใจกลางใบพัด
แล้วในจักวาลอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ มันมีใบพัดอย่างนี้เป็น อนันต์ คือ มาก
จนนับกันไม่ไหวนั่นแหละครับ
        ภาพจาก : google ครับ

          และในแต่ละใบพัดหรือกาแลคซี่ก็จะมีระบบสุริยะที่คล้ายๆกับของ
เราเป็น ล้าน ล้าน ระบบ นั่นคือดาวฤกษ์ ยังไม่รวมดาวเคราะห์ในระบบอีก
นับไม่ถ้วน นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออกว่า ถ้ามีมนุษย์อยู่ดาวดวงอื่นจริงๆ
ถึงแม้จะมีเทคโนโลยี่ล้ำเลิศขนาดไหนก็ตาม มันจะหาเราเจอเป็นครั้งที่
สองได้ยังไง แค่หาเจอครั้งแรกก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย เออ ถ้ามันมีอยู่แค่ดาว
อังดาร หรือดาวเสาร์ก็ว่าไปอย่าง
              ตีห้าละครับ ไว้มาโม้ต่อว่า ผมคิดอย่างไรถึงบอกว่า พวกเขาหา
เราไม่เจอ อรุณสวัสดิครับทุกท่านขอตัวไปนอนละครับ
5:00 น.

.....................................................................................................
             12
พฤษภาคม 2568 4:09 น. อรุณสวัสดิครับทุกท่าน มาว่ากันต่อเรื่องเครื่องบินครับ
             ถ้าใครอยากเห็นการซ้อมรบทางอากาศประเภท บินไล่กันแบบจะจะ ผมขอแนะนำสถานที่หนึ่งครับคือ บริเวณ อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ช่วงหน้าแล้งหรือ หมด ฤดูฝนไปแล้ว ของทุกปี ยาวข้ามปียันหน้าร้อนของอีกปีก็ว่าได้ สิ่งที่เห็นจะมีทั้ง F 16 มาเดี่ยวๆ ทำโซนิคบูมสนั่นลั่นไปทั่วอำเภอกันเลยทีเดียว บางวันก็อาจจะมาสองลำ บินไปบินมา ส่งเสียงคำรามลั่นไปหมด บางวันก็จะมาบินไล่กัน เรียกว่า อยู่เหนือหลังคาบ้านผมก็ว่าได้ แต่สูงมาก เห็นลำเท่าหัวไม้ขีดมั่ง ลำเท่าฝ่ามือมั่ง แหงนดูจนปวดคอกันเลย เพลินมากๆครับ 
               พื้นที่นี้อยู่ห่างจากโคราชแปดสิบกว่ากิโลฯ ทางถนน และห่างจากนครสวรรค์ ร้อยแปดสิบกว่ากิโล ฯ บนแผนที่ขีดเป็นเส้นตรง

           ในวงแดงคือ ตัวอำเภอจัตุรัส ครับ ถ้าซูมเข้าไปอีกจะเห็นว่า บริเวณนั้นเป็นที่ราบ ทำนากันแทบทั้งนั้น ไม่มีภูเขา มีแต่เนินสูงๆต่ำๆ แต่ก็ไม่สูงมาก ระยะทางตรงจากโคราขถึงตรงนี้ ก็ ประมาณ 88 กิโลฯ ตามเส้นตรงสีเหลืองนั่นแหละครับ


             ภาพนี้ แสดงเส้นทางมาจาก นครสวรรค์ครับ เป็นเส้นตรง ประมาณ 186 กิโลฯ 
             บริเวณดั่งกล่าวจึงเป็นจุดนัดพบที่ดี ที่จะมาทำการฝึกบินของทั้งสองฝ่าย เพราะมีแต่ที่ราบ เหนือขึ้นไปเป็นแนวเขาเขียว ไปทางตะวันตกก็เป็นแนวเขาชัยบาดาล เทพสถิตย์ ต่ำลงมาก็เป็นแนวเขาใหญ่ดงพยาเย็น ชุมชนก็ไม่เยอะ อยู่กระจุกตัวเฉพาะในตัวอำเภอและหมู่บ้านเท่านั้น เหมาะที่จะมาดวลกันทางอากาศอย่างยิ่ง พลาดมาก็ลงทุ่งนาไป ซึ่งก็เคยมีมาแล้ว เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง F 16 ตกลงไปในทุ่งนา ใกล้ๆกับ บ้านหนองบัวใหญ่ ห่างตัวอำเภอไม่กี่กิโลฯเองครับ ถอยหลังไปก็ไปตกแถวๆ น้ำตกตาดโตน แต่เป็นในป่า
             ยื่งช่วงฝึกคอบร้า้โกลด์นี่ มันส์มาก ไม่รู้เครื่องอะไรมั่ง บินกันให้ว่อนไปหมด ดูเพลินดี แต่ตอนท่านแม่อยู่ท่านบ่นบ่อยๆ เพราะชอบมาทำเสียงดังตอนบ่าย ซึ่งเป็นเวลานอนของคนแก่อะครับ บางวันบ้านสะเทือนก็มี นานๆทีก็มีเครื่องบิน อัลฟาเจ๊ต จับหมู่สี่ บินผ่านไปก็มีครับ ส่วน F 5 ไม่เห็นเลย ส่วนใหญ่จะเป็น F 16 บางวันมีแถมตอนกลางคืนอีกต่างหากแต่ไม่บ่อยมากนัก 
             ผมไม่ได้กลับไปหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังมีมาบินเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่านะครับ อันนี้ไม่รู้จริงๆ
            เอาจริงๆ ที่มาทำบทความเรื่องเครื่องบินนี้ ก็เนื่องมากจาก การสู้รบกันระหว่าง อินเดีย กับ ปากีสถาน นี่แหละครับ เราอาจจะมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆแล้ว การรบทางอากาศมันอยู่ใกล้พวกเรามากกว่าที่คิด เมื่อรบกัน ระยะทางแค่ สี่หรือห้าร้อยกิโลเมตรนี่ มันมาถึงแค่ไม่กี่นานทีเอง มาสร้า้งความเสียหายแล้วก็บินหนีกลับไป ทั้งหมด อาจจะใช้เวลาในที่เกิดเหตุแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเท่านั้นเองที่ทำได้
          เราเห็นจากสงครามรัสเซียบุกยูเครนมาแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็เละเทะทั้งคู่ เครื่องบินรบแบบต่างๆแทบจะใช้งานไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายก็มีระบบป้องกันที่สูสีกัน เครื่องบินใครแหลมเข้าไปในเขตของอีกฝ่ายก็ทำอะไรได้ไม่มากก็ต้องรีบบินหนีกลับมา ทำได้เท่านั้นเอง
          แต่การรบระหว่างอินเดีย กับ ปากีสถานนั้นต่างออกไปในตอนเริ่มต้น ตามข่าว ในวันแรกที่อินเดียบินออกไปกะจะถล่มเขา แต่โดน จรวดที่ยิงจากระยะไกลที่ยิงโดยเครื่องบินที่สร้างจากประเทศจีน โดนไป สี่ลำ และโดรนอีกหนึ่งลำ ทั้งๆที่ยังอยู่ในเขตของตัวเองด้วยซ้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากในวงการรบทางอากาศ เพราะมันพิสูจน์แล้วว่า จรวดที่ติดไปกับเครื่องบินรบที่มีระยะยิงเป็นร้อยกิโลเมตร มันมีอยู่จริงและมันได้ผลจริง
         หลักการนี้ อเมริกาเคยใช้ในสงครามเวียตนามมาก่อน เพราะมั่นใจว่า จรวดนำวิถีของตนที่ติดไปกับ F 4 สามารถยิงเครื่องบินศัตรูได้ ในทางการฝึกมันได้้ครับ ทดลองมาหลายหนก็โดนทุกลูก แต่พอรบจริง มันไม่ใช่การซ้อมนี่ครับ โดนมั่ง พลาดมั่ง จาก F 4 ที่ไม่ติดปืนกลตอนเริ่มแรก ถึงกับต้องมาพัฒนาติดปืนเข้าไปอีกครั้ง เพราะยิงจรวดไม่โดนแล้ว โดนสวนด้วยลูกปืน เสียเครื่องและนักบินไปเยอะมากในช่วงหนึ่งของสงครามเวียตนาม นั่นคือเมื่อห้าสิบกว่าปีมาแล้วนะครับ
         ผ่านมาหลายปี หลายสงคราม ทั้งเครื่องบินและอาวุธที่ติดมาด้วยก็ได้รับการพัฒนาตามมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีคนคิดว่า เรด้าห์ที่ติดไปกับเครื่องบินรบ มันแรงไม่พอ เพราะด้วยขนาดของเครื่องบินเอง ทำให้การค้นหาเป้าหมายและนำทางจรวดของตัวเองให้ถูกเป้าหมายนั้นมันออกจะเกินกำลังของเครื่องบินมากอยู่เหมือนกัน ระยะค้นหาเป้าหมาย ไม่เกินร้อยห้าสิบกิโลเมตร แต่ ระยะยิงไกลสุดของจรวดแค่ เจ็ดสิบ หรือ แปดสิบกิโลเมตรเท่านั้นเอง ยิงยังไงก็ไม่ถึง หรือ เรด้าห์ มีระยะร้อยห้าสิบ แต่ติดจรวดระย สองร้อย มันก็ยิงไม่ถึงอยู่ดี หรือถึงก็ไม่ถูก อะไรประมาณนั้น ดังนั้นพวกก็เลยเอาเรด้าห์ที่ทรงพลัง แบกใส่เครื่องบินที่ใหญ่กว่า แต่บินได้สูงและนานกว่า ระยะค้นหาเป้าหมายสามร้อยถึง ห้ายกิโลเมตร มาชี้เป้าให้เครื่องบินรบที่เล็กกว่า แบกจรวด โผล่หัวขึ้นไปยิง แล้วก็มุดหนีโดยไม่ต้องไปสนใจเลยว่าจรวดที่ยิงไปแล้วจะไปโดนอะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลำใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเขาชี้เป้าเอาเอง ซึ่ง ปากีสถานก็ใช้วิธีนี้แหละ สอยอินเดียไปสี่ลำ และลำที่โดนก็เป็นเครื่องบินรบชั้นนำที่ซื้อมาจากฝรั่งเศสสดๆร้อนซะด้วย งานนี้ เสียหายมากสำหรับฝรั่งเศส เพราะคุยไว้เยอะกับเครื่องบินรุ่นนี้ ราคาแต่ละลำก็ไม่น้อย แพงกว่าเครื่องบินพร้อมจรวดที่ปากีสถานใช้เกิอบสามเท่าเห็นจะได้
               ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็คือ สงคราม คลื่นความถี่วิทยุ หรือเรด้าห์ หรือ ความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า นั่นแหละครับ ใครเห็นก่อน ยิงก่อนชนะ ใครเห็นได้ไกลกว่า ยิงได้ไกลกว่า ชนะ หลักการมันมีเท่านี้เอง
             เหมือนเรามีปืนดีๆ ยิงได้แม่นในระยะไกล แล้วฝึกมาดี โอกาสยิงถูกก่อน ชนะก่อนก็มีสูง แต่ถ้าเรามองไม่เห็นเป้าหมาย ปืนดีขนาดไหนก็แพ้ครับ เพราะยิงไม่โดน จะไปยิงอะไรล่ะครับ ในเมื่อมองไม่เห็นเป้าหมายเลยแม้แต่น้อย
             หลังจากอินเดียเสียเครื่องบินไปหลายลำ ก็เลิกใช้เครื่องบินรบ หันมาใช้ โดรน และจรวดพื้นสู่พื้นแทน เห็นข่าวว่า ถล่มกันเละเลยทีเดียว ก็ได้แต่หวังว่า กองทัพอากาศไทยคงจะได้บทเรียนจากสงครามครั้งนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ
           เห็นจะจบเรื่องเครื่องบินแต่เพียงเท่านี้ครับ ใครสงสัยก็ไปหาตามข่าวกันต่อได้ครับ เทคโนโลยี่ยุคนี้มันไปไกลมาก ที่ยังไม่ได้เห็นอีกอย่างก็คือ ทั้ง B2 และ F 35 หายตัวบินเข้าไปถล่มศัตรูแค่นั้นเอง หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์อย่างที่ว่าเกิดขึ้นนะครับ เพราะนั่นหมายถึงต้องมีคนเสียชีวิตไม่น้อยแน่ๆ
            ไปล่ะครับ แล้วจะมาโม้เรื่องต่อไป ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ค่อยว่ากันอีกทีครับ อรุณสวัสดิครับทุกท่าน
5:40 น.
................................................................................................
             11
 พฤษภาคม 2568 2:28 น. สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้มีผู้เข้าชมเวปนี้หลังจากทำเวปมา เจ็ดปี เริ่มเมื่อ เดือน พฤษภาคม 2561 มาถึงวันนี้มีจำนวนการเข้าชมเกิน เจ็ดหมื่นครั้ง และเมื่อดูจากสถิติการเข้าชมในแต่ละวัน ก็ไม่ถึงร้อยครั้งต่อวัน บางวันก็แค่สิบครั้งหรือน้อยกว่านั้นก็มี อย่างไรก็ตาม ผมถือว่าประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายไปมาก ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะด้วยเพตุผลอะไรก็ตาม ขอขอบพระคุณทุกท่านอย่างสูงครับ
             เมื่อวานเผลอไปอวดเรื่องแมวซะงั้น วันนี้จะมาโม้เรื่องเครื่องบินกันครับ ว่ากันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กเลยก็แล้วกัน
            ประวัติความเป็นมาของเครื่องบินผมจะไม่กล่าวถึงนะครับ เพราะไปหาอ่านเอาในเนต ได้รายละเอียดมากกว่าแน่ๆ แต่สำหรับผม เริ่มรู้จักเครื่องบินจากในทีวี เหมือนเด็กทั้วไปนั่นเอง มันน่าสนใจมากจริงๆในตอนนั้น มันบินได้สูง บินได้เร็ว บินได้ไกล มีคนนั่งไปด้วยได้ตั้งหลายคน ในความจำอันเลือนลางนั้น เครื่องบินจริงๆที่เห็น น่าจะเป็นเครื่องบินที่มาในพิธีสวนสนามแสดงแสนยานุภาพของกองทัพไทยจัดขึ้นตามแนวถนนราชดำเนินในสมัยนั้น ตามถนนจะมีรถรบต่างๆของทหาร วิ่งกันเป็นขบวน ส่วนบนท้องฟ้้าก็จะมีเครื่องบิน บินหมู่ ผ่านไปเป็นระยะ แต่เป็นเครื่องบินแบบไหนผมก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่ามันสุดยอดมากในตอนนั้น แหงนหน้ามองตาไม่กระพริบเลยทีเดียวสำหรับเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งจะเคยเห็นเครื่องบินตัวเป็นๆ น่าจะเป็รประมาณปี พ.ศ. 2510 กว่าๆนะครับ ตอนนั้นเด็กอายุแค่ เจ็ดหรือแปดขวบเอง แต่ที่แน่ๆ ได้ดูทุกปี เพราะบ้านอยู่แถวนั้น เดินออกมาหน่อยก็ถึง ถนนราชดำเนินฝั่งตรงข้ามกับ โรงหนังเฉลิมไทย หรือวัดราชนัดฏา ในปัจจุบันนั่นเองครับ
           พอย้ายไปอยู่อยู่บ้านท่านตาที่จังหวัดชัยภูมิ ก็ไม่ได้เห็นอีกเลย แต่ในสมุดเขียนหนังสือที่โรงเรียนแจก จะมีรูปเครื่องบิน  F 5 เป็นปกอยู่ด้านหลัง อ้อ ลืมบอกไปครับ สมัยเป็นเด็กอยู่ กทม พี่ขายทั้งหลายเขาชอบไปซื้อหนังสือชื่อ ช่างอากาศ ออกรายเดือนในสมัยนนั้น ผมอ่านออกมั่งไม่ออกมั่ง แต่ชอบไปต่อคิวเพื่อจะดูรูปเครื่องบินต่างๆ ที่นำเสนอในหนังสือเล่มนั้น เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นพวกเครื่องบินรบของต่างประเทศ มีบทความทางอิเล็คทรอนิค และอื่นๆอีกพอสมคววร เครื่องบินขับไล่ F 4 ,F 5 ฯ ก็รู้จักเห็นรูปร่างหน้าตาก็จากหนังสือ ช่างอากาศนี่แหละครับ เป็นพ๊อกเกตบุ๊คเล่มเล็ก พกพาสดวก อ่านง่าย แต่ปัจจุบัน น่าจะไม่มีแล้ว


            ภาพข้างบนมาจาก google ครับ
       ถึงขนาดที่ว่า แอบหนีท่านตา ขึ้นรถ บขส มา กทม เพื่อมาซื้อหนังสือเล่มนี้อย่างเดียวก็แล้วกัน ตอนนั้นน่าจะอยู่ ม.ศ.1 แล้วครับ กลับไปโดนเละเลย 55555 สมน้ำหน้าตัวเอง ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คิดถึง ท่านแม่กับท่านพ่อด้วยอะ แฮะๆ
           ย้อนกลับไปตอนเด็กๆที่ยังอยู่ กทม พี่ชายเขาชอบพาไปประตูน้ำ ไปดู โมเดลเครื่องบินต่างๆ มีขายอยู่ร้านเดียวคือ ห้างอมร มีโมเดลสารพัดอย่าง ทุกขนาดเป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กน้อยอย่างผมยิ่งนัก แต่ได้แต่ดูเท่านั้น ไม่มีเงินซื้อครับ มันเป็นอะไรที่ฝังใจมาตั้งแต่เด็กละกับไอ้้โมเดลเครื่องบินเนี่ย ปัจจุบัน(ไม่ได้ไปเป็นสิบปีแล้วครับ) ร้านนี้ ได้ย้ายไปอยู่ ซอยเอกมัย แต่มีแต่พวกเครื่องบิน บังคับด้วยวิทยุ ซึ่งเวลานี้ยังอยู่หรือเปล่าผมก็ไม่ทราบแล้วครับ
 
             ภาพข้างล่างมาจาก :
https://www.facebook.com/groups/weloveoldphoto/posts/2706096496386519/

                 ภาพข้างบนนี้ผมยังไม่เกิดเลยครับ 55555 
      หลังจากเริ่มเป็นวัยรุ่น ไม่ว่าจะเห็นหรือได้ยินเสียงเครื่องอะไรก็ตาม ผมจะรีบเงยหน้ามองหาที่มาของเสียงหรือเครื่องบินลำนั้นๆตลอด เหมือนเป็นคนบ้าประมาณนั้นครับ แต่ก็มีหลายช่วงเวลา ที่ลืมๆไปเพราะต้องเรียนมากขึ้น และไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นรูภาพ หรือ เครื่องบินตัวเป็นๆกับเขาเลย อ้อ ขอย้อยอีกหน่อย เพิ่งนึกแแก ตอนนั้นยังเด็กมาก อยู่ที่บ้านท่านตา กำลังเล่นกับเพื่อนอยู่ริมถนน ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมากมาจากท้องฝ้าด้านหนึ่ง ทุกคนก็หันไปมอง ปรากฏว่าเป็นเครื่องบินรบ ของอเมริกันคือ F 4 นั่นเอง บินต่ำมาก และมันผ่านไปเร็วมาก เห็นแต่ท้องขาวๆ และควันดำๆที่ออกมาจากท้ายเครื่องเท่านั้นเอง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้เห็นตัวจริงของเครื่องบินแบบนี้นอกจากในหนังสือ มีญาติๆกันเขามีอยบ้านพักของกรมชลฯ โคราช มาเล่าว่า เห็นทุกวัน เพราะอยู่ใกล้สนามบิน แหมๆๆๆๆๆ ต่อมอิจฉาทำงานอย่างไว ก็ได้้แต่เงียบไว้เท่านั้นเอง ก็เรามันเด็กน้อยนิ
              ท่าพอผมเคยเล่าให้ฝังว่า สมัยหนุ่มๆ ก่อนจะไปเป็นทหารเรือ แก่เคยไปเรียนศิษย์การบิน เพราะยากเป็นนักบินรบ แต่สุดท้ายแกสอบไม่ผ่านเพราะแกเอาเครื่องขึ้นได้ แต่เอาลงไม่ได้ แต่แกก็บอกว่า อาจจะเป็นโชคดีก็ได้ เพราะเพื่อแกหลายคนที่ผ่าน ก็ไปพร้อมกับเครื่องบินในสมัยนั้น แกเลยรอดมาได้เพราะสอบตก ฟังแล้วก็ขำไม่ออกเหมือนกันครับ
           ในคนที่อายุห้าสิบปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ใจกลาง กทม ในสมัยเป็นเด็ก จะคุ้นเคยกับเครื่องบินอยู่สองประเภท หนึ่งคือ เครื่อบินตรวจการณ์ O 1 บินมากลับลำเหนือหลังคาบ้านทุกวัน ก่อนที่จะมีพิธีสวนสนามที่ลานพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ห้า ก่อนถึงวันจริงก็สามหรือสี่วัน ตอนบ่ายแก่ๆ มาละ แหงนมองคอค้างกันเลยทีเดียวครับ สองก็คือ UH 1 เป็นเฮลิคอปเต้อสุดฮิตของกองทัพไทยในสมัยนั้น ได้ยินเสียงโดยไม่เห็นตัวก็จำได้แล้ว เพราะเจ้านี่จะมาทุกที เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับรัฐบาลในสมัยนั้นๆ หลายครั้ง หลายหน ก็เจ้านี่แหละจะเป็นตัวบอกเหตุเป็นอย่างดีว่า เอาแล้วน้าาาาาาา.........บินกันให้ว่อนไปหมด
           ไปเรียน ปวช ที่จันทบุรี ก็ยังไม่เว้น ยิ่งบ้านอยู่ใกล้ค่ายตากสินซะด้วย จำได้ว่า บินกันตลอดวันเลยทีเดียว เดี๋วมา เดี๋ยวไป จนปัจจุบันแค่ได้ยินเสียงในคลิป โดยที่ไม่เห็นตัวยังจำได้เลยครับ
         พอได้กลับเข้ามาทำงานใน กทม อีกครั้งประเทศไทยก็แคบลงไปเรื่อยๆ ทำงานแล้ว อยากไปไหนก็ไป อยากไปดูเครื่องบินที่ดอนเมืองก็ไปเองได้แล้ว เปิดหูเปิดตาเป็้นอย่างมาก แอร์โชว์ครั้งแรกที่ไดู้ก็คือ ฝุงบิน F 16 ของอเมริกา หลังจากปี พ.ศ. 2536 ที่บ้านเราซื้อ  F 16 มาไม่กี่ปี ก็เอาบินโชว์ให้ดู สมัยนั้นคนยังเยอะ ข่าวสารหายากมากถ้าไม่สนใจแทบจะไม่เห็นเลย วันนั้นมันซะใจมากๆครับ เต็มอิ่มกับการดูเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก มาบินตีลังกาให้ดู ไม่มีกล้อง ไม่มีมือถือเหมือนสมัยนี้ อแร์โชว์ครั้งถัดมาก็ที่ สนามบินกำแพงแสน งานนี้ขี่ มอไซด์ไปครับ เกือบโดนสิบล้อกินไปแล้ว คราวนี้มีกล้องไปด้วย ได้เห็น MIG 29 ,MIG 31 ,SU  27  ฯ ตัวเป็นๆ ไปยืนลูบหัวมันได้ด้วยฮะฮ่า เห็น F 16  ของ ทอ ไทย บินอีกครั้ง นักบินอย่างเท่ห์จริงๆ ง่นนั้นปิดท้ายด้วยฝูงบิน MIG 29 ของรัสเซียครับ อลังกาลมากจริงๆ ไม่เสียทีที่เสี่ยงตายขับมอไซด์ไปดูจริงๆ รูปถ่ายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ่ายไปม้วนเดียว ไว้นหาเจอจะเอามาลงให้ชมกันครับ
       ยี่สิบกว่าปีมานี้ ทอ ไทยเป็นที่รู้จักของคนไทยมากยิ่งขึ้น เพราะได้มีการจัด แอร์โชว์ ย่อมๆที่ยิ่งใหญ่มาก จำได้ว่า เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน คนดูไม่เยอะขนาดนี้ครับ แต่พอเริ่มมีโทรศัพท์ สมาร์ทโฟนนี่ คนไม่รู้มาจากไหน แน่นไปหมด ตั้งแต่ผมสุขภาพไม่ดีเมื่อสามปีกว่ามาแล้ว ก็ไม่ได้ไปที่ดอนเมืองในงานวันเด็กอีกเลย คิดถึงเหมือนกันครับ เมื่อก่อนถึงวันเด็ก ถ้าไม่ติดงานจริงๆ ผมก็จะไปเดินดูเครื่องบินที่งานนี้ทุกปี แทบไม่เคยขาดเลยก็ว่าได้
        แปปเดียว ตีสี่กว่าอีกละ ขอมาต่อพรุ่งนี้ครับ จะเป็นเรื่องของเครื่องบินรบในปัจจุบัน ตามความคิดของผมละ ค่อนข้างจะจริงจังพอสมควร คืนนี้ ราตรีสวัสดิครับทุกท่าน
4:31 น.
 
.....................................................................................................
             10
พฤษภาคม 2568 1:39 น. สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ผมเปลี่ยนรูปที่หัวเวปเป็นแมวอีกตัว ถ่ายไว้เมื่อ เดือน มีนาคา ค.ศ. 2018 มีชื่อว่า ชาคิต เป็นแมวส้มตัวใหญ่มากครับ เกิดหลังปีน้ำท่วมใหญ่ ตอนนี้เขากลับดาวแมวไปเมื่อต้นปีที่แล้วครับ อายุน่าจะประมาณ สิบกว่าปีเห็นจะได้ เขาเป็นแมวที่น่ารักมากตั้งแต่เกิด หัวโต หน้าตาตลกมาก เกิดมาพร้อมกับน้องชายชื่อเจอราด เขาสองตัวรักกันมาก โตขึ้นมาก็ไม่เคยกัดกันเลย ไปไหนไปด้วยกัน ไปบู๊นอกบ้านก็พากันไป แต่เจ้า เจอราด กลับดาวแมวไปก่อนตอนอายุได้สองขวบมั้งครับ เหลือเขาอยู่เป็นเจ้าถิ่นตัวเดียว ตลอดชีวิตของเขา ไม่เคยกลัวแมวที่ไหนเลยในระแวกบ้าน เพราะเขาตัวใหญ่มากๆ เคยจับชั่งได้เกือบเจ็ดกิโลฯ ปีหลังๆก็ลดลงมาหน่อยเหลือห้ากิโลฯกว่าๆ

               ไปบู๊กับใครมาก็ไม่รู้ กลับมานอนบนหน้าอกผมสบายใจเลย ได้ของฝากที่คอมาด้วย จับล้างแผลใส่ยาเรียบร้อบ แต่บางครั้ง ไม่เห็นรอยเขี้ยวที่โดนมา ไม่ตรงคอก็ใต้คาง จนบวมปูดเป็นลูกมะนาว ต้องใช้เข็มเจาะเอาหนองออก แล้วล้้างแผลทายา และกินยาแก้อักเสบ ไม่กี่วันก็หายดี ออกไปบู๊กับชาวบ้านเขาได้
            เขาจากไปด้วยความชราเพราะไปโดนอะไรมาไม่รู้ที่หน้าเป็นแผลขนาดใหญ่ ไปแอบอยู่บ้านข้างๆ ผมตามหาก็ไม่เจอเพราะเจ้าของบ้านเขาขังไว้ข้างใน จนกระทั่งเขาไม่ไหวแล้ว จึงเอามาส่งกลับบ้าน ร่างกายผอมมาก แผลบนหน้าอักเสบเป็นหนอง ผมพยายามทำความสะอาดแผล ป้อนยา ตามกำลังเท่าที่จะทำได้ เพราะทุนทรัพย์ก็ไม่ค่อยจะมี จนเขาทนไม่ไหว กลับดาวแมวในที่สุด
          ตอนเขาเด็กๆจำได้ว่า พาไปหาหมอฉีดยา บ่อยมาก หมดไปหลายเหมือนกัน แต่พอโตมา ไม่เคยที่จะป่วยเลย ไปกัดกับชาวบ้านมา ก็กลับมารักษาแผลเอา ไม่นานก็หาย เป็นอยู่อย่างนี้มาตลอดสิบกว่าปีที่เขาอยู่กับครอบครัวผม จนกระทั่งเขากลับดาวแมวไปในที่สุด ยอมรับว่า คิดถึงเขามากๆครับ ตอนเขาไป ผมอดที่จะหลั่งน้ำตาให้เขาไม่ได้เหมือนกัน

                  ภาพข้างบนนี้ตอนอยู่บ้านเก่าครับ ลองเที่ยบกับกล่องใส่เบียร์ครับ เรือลำที่เขานอนหนุนอยู่ เป็น PT BOAT ลำแรก สเกล 1/35 ยาวประมาณ เกือบเจ็ดสิบเซ็นฯ ครับ
          เคยเล่น เคยนอนด้วยกัน เคยเช็ดอึ เช็ดแผลกันมาตั้งสิบกว่าปี อดไม่ได้จริงๆ แต่ โลกเราก็เป็นเช่นนี้แหละครับ มีพบก็มีจาก มีเกิด ก็มีตาย ไม่มีใครหนีพ้น จะช้าจะเร็วเท่านั้นเอง
          เฮ้อ......วันนี้กะว่าจะมาคุยเรื่องเครื่องบินซะหน่อย แต่ดันไปเจอรูปเจ้า ชาคิต ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังเท่านั้นเองครับ ไว้พรุ่งนี้มาว่ากันเรื่อง เครื่องบินกัน ผมจะพาทุกท่านขึ้นฟ้า ไปหาฝัน ลมๆ แล้งๆของผมในวัยเด็กจนถึงปัจจุบันครับ 
          วันนี้ ราตรีสวัสดิครับทุกท่าน
2:00 น.

.....................................................................................................
             6
พฤษภาคม 2568 2:40 น. สวัสดีครับทุกท่านวันนี้มาดึกอีกแล้ว หายไปหลายวัน เช่นเคย วันนี้ไม่มีเรืออีกแล้วครับ มีแต่เรื่องเรื่อยเปื่อย
             หลังจากตึก สตง ถล่มลงมา ถึงตอนนี้ กลับมีเรื่องราวในสังคมที่มันไม่ทำให้เกิดความดีใจหรือทำให้ใจเราฟูสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยซะทีเดียว
             ผมใช้วิธีค้นหาดูเรื่องราวต่างๆจากยูทูป ที่ดูแล้วมันทำให้เรา หัวเราะ ยิ้ม สบายใจ ซะเป็นส่วนใหญ่ และช่วงนี้ได้สังเกตุตัวเองไปด้วย เวลา เผลอไปกดดูเรื่องที่มัน เฮ็งซวย ชวนให้เข้าไปเม้นต์ด่านร่วมวงกับคนอีกหลายร้อยหลายพันคน แต่พอพิมพ์เสร็จ มาอ่านทบทวนดู ไม่เอาลบดีกว่า เพราะคนที่มาคอมเม้้นต์ เขาด่าไปเยอะละ แค่ไล่อ่านไปสักสี่หรือห้าคอมเม้นต์ ก็เอือมเต็มที่แล้วครับ นี่ถ้าคนถูกด่ามาอ่าน ไม่ประสาทเสียไปเลยหรือป่าวก็ไม่รู้ เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง จนเลิกเข้าไปดู เห็นหัวข้อก็เดาได้เลยว่า มีแต่คนด่า ส่วนเนื้อหาก็ ไปไม่ถึงไหนซะที วนไปมาอยู่ที่เดิม คนผิดขนาดมีหลักฐานชัดเจน แต่ก็ทำได้เท่านี้ เฮ้อ พอๆๆๆๆ ไปหาดู น้อง ชมพู่แข่งวอลเลย์บอลดีกว่า ทั้งสนุก ทั้งขำ และทำให้รัก ลูกสาวของพวกเรามากขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว ลองไปหาดูสิครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน

                 

               
ภาพและข้อูลข้างบนได้มาจาก :https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B9%8C

           มะวันนี้ไหนๆแล้ว ขอมาอวยหนูชมพู่ หรือ พรพรรณ เกิดปราชญ์ กันดีฝ่า ปัจจุบันน้องอายุ 32 ปี เรี่ยวแรงกำลังดี แม้ว่าบางคนจะบอกว่า เธอตัวเตี้ยไปหน่อย หรือน้ำหนักมากไปนิด แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ให้เธอเล่นวอลเลย์บอลเลยแม้แต่น้อย เธอสูง 173 ซ.ม. น้ำหนัก 63 กิโลกรัม กระโดดตบสูง 290 ซ.ม. กระโดดบล๊อคได้สูง 258 ซ.ม. นั่นก็เพียงพอแล้ว และบางคนอาจจะบอกว่าเธอ เป็นมือตบที่เซตได้นิดหน่อย บางคนก็ว่า เธอเป็นบล๊อคเกอร์ที่เซตได้เล็กน้อย หรือแม้แต่ เป็น ลิโบโล่ที่พอเซตได้บ้าง ฯ
ก็ว่ากันไปครับ แต่โดยรวมแล้ว ทุกอย่างที่มาประกอบเป็นเธอ มันสมบูรณ์แบบมากจริงๆ จากสายตาของผมนะครับ ไม่เกี่ยวกับใคร
           ในสนามแข่งวอลเลย์บอล คุณจะมีเวลาคิดได้ไม่เกิน 2-3 วินาทีเท่านั้น ส่วนใหญ่จะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ และระยะทางที่ยืนอยู่ถึงลูกบอลก็ไม่ได้ไกลมาก แค่ไม่กี่เมตรเอง อยู่ที่ใครจะไปให้ถึงทันก่อนที่มันจะตกลงพื้น แต่ในหลายๆครั้ง พวกเราก็เห็นว่า น้องชมพู่เธอทำได้ เธอไม่ได้หุ่นดีเหมือนนักกีฬาวอลเลย์บอลทั่วไป เธอไม่ได้วิ่งเร็วกว่าคนอื่น แต่ที่เธอมีเหนือกว่าหลายๆคนก็คือ การตัดสินใจ ว่าจะทำหรือไม่ทำ และช่วงเวลาสั้นๆ ที่ตัดสินใจนั้น ถ้าไม่ทำก็ยืนอยู่เฉยๆซะเท่านั้น แต่ถ้าทำ มันใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ในระหว่างที่ตัดสินใจทำกับการเคลื่อนไหวของร่างกายไปตามที่สมองสั่งการ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เธอมีเหนือกว่านักกีฬาหลายๆคนนั่นเอง
           นอกจากการตัดสินใจว่าจะทำอะไรในเสี้ยววินาทีนั้นแล้ว ยังต้องมาคิดอีกว่า จะทำอย่างไร ไปให้ถึงบอลแล้วไงต่อ นั่นคือเรื่องที่มีอยู่ในหัวของน้องหมดแล้วตั้งแต่ตัดสินใจทำ รวมเวลาทั้งหมดในหัว ไม่ถึง วินาทีด้วยซ้ำไป ผมกล้าพิมพ์อย่างนี้ เพราะผมดูเธอบ่อยมากๆ แทบจะไม่พลาดเลยทีเดียว และได้เหตุพฤติกรรมแบบนี้ของเธอบ่อยมากๆ ซึ่งเชื่อว่า หลายๆคนก็คงจะเห็นอย่างที่ผมเห็นนั่นแหละครับ
          เวลาหนึ่งวินาทีนานขนาดไหน คุณลองพูดคำว่า หนึ่งพันหนึ่ง ดูสิครับ แล้วเอาไปเที่ยบกับเวลาในนาฬิกาดู ว่ามันตรงกันไหม นั่นแหละครับคือความยาวนานของเวลา หนึ่งวินาที
         การแข่งกีฬา เขาจะมี กฎ ต่างๆ ของกีฬานั้นๆ ว่าทำอะไรไม่ได้บ้าง หรือทำอะไรได้บ้าง นักกีฬาอาชีพมักจะไม่พลาดใน กฎ ต่างๆ เว้นแต่เกิดเหตุสุดวิสัยเท่านั้น เช่น โดนตาข่ายมั่ง ฯ เป็นต้น และที่สำคัญ การซ้อมกับการแข่งจริง มันต่างกันลิปเลยทีเดียว บางคนเวลาซ้อมทำได้ดีมากๆ ก ไก่ล้านตัว แต่พอลงแข่ง ขาแข็งขึ้นมาซะงั้นก็มี นอกจากร่างกายต้องแข็งเกร่งแล้ว ไม่ใช่แข็งแรงนะครับ ต้องแกร่งจริงๆ ประเภทล้มไม่เจ็บ หัวแตกไม่ร้องนั่นแหละครับ เมื่อฝึกซ้อมพื้นฐานจนเชี่ยวแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของ จิตใจ ล้วนๆครับ กายแกร่ง จิตใจต้องแกร่งตามไปด้วย และอย่างสุดท้าย จินตนาการ ครับใช่แล้ว ตัวนี้นี่แหละที่น้องชมพู่ของเราใช้บ่อยมากที่สุด น้องไม่ได้อยากโชว์ท่ายาก ไม่ได้อยากนั่งเซตบอล หรือกระโดดเซตมือเดียวนะครับ แต่ สถานะการณ์มันพาไปทั้งนั้น ถ้านักกีฬาคนไหนมีจินตนาการน้อยนี่ เสร็จเลย เพราะตอนซ้อม มันอยู่ในการควบคุม พลาดก็เอาใหม่ได้ แต่เมื่อลงแข่งแล้ว พลาดคือเสียแต้ม หรือแพ้ค่หนึ่งแต้มก็คือแพ้นั่นแหละครับ จะมาเอาใหม่ไม่ได้ อะไรที่ผ่านไปแล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ทั้งนั้นครับ
         ในสนามแข่งขันวอลเลย์บอลถ้าจะเปรียบเป็น บริษัท หรือ กลุ่มคนทำงานสักกลุ่มก็น่าจะได้เหมือนกัน น้องชมพู่เล่นในตำแหน่งตัวเซตบอล แต่น้องไม่ได้บอกว่า ตบไม่ได้ บล๊อคไม่ได้ ขุดบอลไม่ได้ ฯ นี่ครับ มันอยู่ที่สภาพการแข่งขันในขณะนั้น ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นต่างหาก เหมือนกับพนักงานทีทำงานในบริษัทนั่นแหละครับ บางคนทำเป็นอยู่อย่างเดียวและชาตินี้กุก็จะทำของกุอยู่อย่างนี้เท่านั้น ใครอย่ามาสั่งให้ไปทำอย่างอื่นนะ จะบอกให้ 555555555 
         ผมเจอบ่อยครับกับคำว่า ทำไม่ได้ ทั้งๆที่แค่ฟังอย่างเดียวเองว่า ให้ไปทำเรื่องนี้นะ พวกสวนมาเลยว่า ผมทำไม่ได้ครับ หนูทำไม่ได้ค่ะ.....เฮ้อ กรรมของกุจริงๆ 555555555 นี่ถ้าน้องชมพู่มาออกทีวีว่า หนูเซตบอลมือเดียวไม่ได้นะคะ หรือ หนูขุดบอลไม่ได้เพราะหนูเป็นเซตเตอร์ ฯ น้องจะมาไม่ถึงวันนี้แน่นอน คงหล่นหายไนานแล้วและถูกลืมไปในที่สุด
         จริงอยู่ ที่น้องชมพู่ ไม่ได้เก่งที่สุด แต่น้องทำทุกอย่างเพื่อทีม เพื่อชัยชนะของทีม และเพื่อความสุขของพวกเรานั่นเอง
         ตีสี่กว่าๆอีกแล้ว อรุณสวัสดิครับทุกท่าน ผมขอไปนอนแล้วครับ
4:14 น.

.....................................................................................................
             22
 เมษายน 2568 1:02 น. สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ไม่มีเรือนะครับแต่มีเรื่อง 55555555
             หลังวันสงกรานต์มานี่ นอกจากเรื่องแผ่นดินไหวแล้ว ก็เห็นจะมีแต่เรื่องร้อนแรงทั้งทางการเมืองและสังคมพอสมควร เรื่องการเมืองก็ละไว้ละกันครับ รักใครชอบใครก็เลือกกันเอาเอง ส่วนเรื่องทางสังคมก็หนีไม่พ้นเรื่อง ที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ แต่อีกไม่กี่วันมันก็จะหายไปจากหน้าสื่อ แต่ มันจะยังคงอยู่ตลอดไปตราบใดที่ยังมีตังค์จ่ายค่าเนตก็จะไปค้นดูเมื่อไหร่ก็ได้
         แต่วันี้ผมจะมาว่าด้วยเรืองการ อนุรักษ์ธรรมชาติ ครับ วึ่งก็เป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้นั่นเอง
         ทะเลไทยไม่ว่าภาคไหน ก็จะมีสถานที่ที่สวยงามเฉพาะตัว ทำให้เกิดความสนใจจากผู้คนทั่วไปที่ใคร่อยากจะไปเยี่ยมชม แม้ว่าบางสถานที่อยู่ไกลแค่ไหนแต่ถ้าอยากไปเห็นก็ยอมทำทุกอย่างที่จะไปให้ได้ และเมื่อมีคนไปก็ต้องมีคนคอยให้บริการ ต้อนรับ ทั้งโรงแรม รีสอร์ท เรือนำเที่ยว ไกด์ ฯคนยิ่งมาก เงินก็มากตามไปด้วย แต่ในปัจจุบันนี้ เจ้าของที่ในแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ แทบจะหาคนท้องถิ่นดั้งเดิมไม่เจอเลยก็ว่าได้ เพราะได้ขายที่ดินให้กับนายทุนไปหมดแล้วนั่นเอง ส่วนชาวบ้านที่ห่างออกมา ก็ไปรับจ้างให้กับสถานประกอปการเหล่านั้นและที่ขาดไม่ได้ก็คือ มีคนต่างถิ่นหลั่งไหลเข้าไปในพื้นที่เป็นจำนวนมากเพื่อหาอาชีพที่ให้โอกาสและค่าตอบแทนที่สูงกว่านั่นเอง
           คนมากขึ้น สิ่งที่ตามมานอกจากเงินแล้วก็เห็นจะเป็น ขยะ ที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย ที่ไหนจัดการได้ดีก็รอดตัวไป แต่ถ้าทำได้ไม่ดี ผลเสียก็จะตกอยู่กับชุมชนนั้นๆเอง นี่คือเรื่องบนบกนะครับ
           แต่จุดขายมันอยู่ในทะเลนี่ครับ ใต้ทะเลในแต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกัน บางแห่งเป็นแค่หาดทรายยาวลงไปในทะเล เช่น หาดบางแสน หาดพัทยา ฯ แต่บางแห่ง ก็ต้องนั่งเรืออกไปใกล้บ้าง ไกลบ้างก็ว่ากันไป เพราะใต้ทะเลที่จะไปมันมี ประการังที่สวยงาม ยามดำน้ำลงไปดูเวลาแดดส่อง จะสวยงามมากทีเดียว แต่ถ้าใครใจกล้าหน่อย ลองลงตอนกลางคืนดูสิครับ สถานที่เดียวกัน แต่เหมือนกับคนละโลกเลยทีเดียว อ้อ อย่าลืมไฟฉายกันน้ำลงไปด้วยนะครับ ไม่งั้นจะไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่มือของตัวเอง 55555
         ผมเป็นแค่คนทำงาน ไม่ใช่คนมีเงินเหลือเพื่อไปเที่ยวทะเลนะครับ แต่ก็ได้ไปเห็นในหลายๆพื้นที่ก็เพราะงานมันพาไป ได้นอนโรงแรมบนเกาะระดับห้าดาว ได้กินอาหารชั้นเลิส ได้นั่งสปีดโบ๊ทและเรือยอช์ ก็เพราะงานอีกนั่นแหละ ลำพังให้ไปเองเห็นจะไม่มีปัญญาแน่ๆครับ
        และในแต่ละแหล่งท่องเที่ยว ก็จะมีคนในพื้นที่คอยดูแล บริหารจัดการ รวมทั้งการ อนุรักษธรรมชาติ ในพื้นที่ของเขาอยู่แล้ว บางแห่งก็ถูกยกระดับให้กลายเป็น อุทยานแห่งชาติทางทะเล มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลควบคุม มีกฎหมายต่างๆมาประกาศใช้ภายในเขตอุทยานฯอย่างชัดเจน
         แต่ก็นั่นแหละครับ ที่ไหนมีกฎ ที่นั่นก็จะมีคนที่แหกกฎ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนครับ
           จะด้วยแนวเขตที่ไม่ขัดเจน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็ทำให้เกิดความเสียหายกับประการังใต้้ท้องทะเลเป็นจำนวนมาก จนเป็นที่มาของการใช้กฎหมายที่เด็ดขาดขึ้น มีการตักเตือน จับ ปรับ ฯ ก็ว่ากันไปตามความผิดทีก่อไว้ นี่คือเรื่องทั่วๆไปที่เกิดขึ้นตามแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลทั่วประเทศไทยครับ
           แต่ประการังและสัตว์น้้ำต่างๆ มันไม่ได้อยู่แต่ในเขตอุทยานหรือเขตอนุรักษ์นี่ครับ ท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาล มันจะไปอยู่ตรงไหนก็ได้ ในส่วนนี้แหละครับที่น่าจะเป็นปัญหาที่แก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้สักที เพราะเขตอนุรักษ์ หรือเขตอุทยาน ฯ มันไม่มีรั้วกันเหมือนบ้านคนนี่ครับ ดูในแผนที่ และเรด้าห์แล้ว มันไม่อยู่ ก็ทิ้งเสมอโครมลงไป แต่ใต้นั้นมีประการังเต็มไปหมด ก็โดนกันไป ประการังเสียหายกันไป ฯลฯ
          ดังนั้น คนพื้นที่หรือคนที่ทำมาหากินอยู่ในบริเวณนั้นๆ ต้องเป็นคนที่คอยดูแล ห้ามปรามพวกเดียวกันว่า ตรงไหนควรทำอะไร หรือ ไม่ควรทำอะไร ถึงจะถูกต้องกับบริบทของพวกเขาเอง แต่เมื่อไหร่ที่ให้เจ้าน่าที่มาใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามแผนที่ที่มีอยู่ในมือเมื่อไหร่ ปัญหาก็จะเกิดเมื่อนั้น ซึ่งทุกที่ก็เป็นเหมือนกันหมดนั่นแหละครับ อะไรที่ไม่ชัดเจน มันเป็นปัญหาทั้งนั้น นี่ว่ากันในบริบทของ หน้าใครหน้าที่มันนะครับ แต่ความเป็นจริงมันเป็นไปตามนั้นหรือเปล่าล่ะครับ
           ยิ่งมีคนนอกไปบอก ไปท้วง ไปตำหนิ ว่าทำไมคนพื้นที่ไม่ดูแล ไม่ช่วยกันรักษาธรรมชาติในถิ่นของตัวเองมั่งเลย สถานการณ์ยิ่งจะแย่กันไปใหญ่ คนไม่เหมือนกันครับ มีดีก็มี มีเห็นแก่ตัวก็มี เห็นแก่เงินก็มี มีอยู่ทั่วไปนั่นแหละครับ ดังนั้น งาน อนุรักษ์ธรรมชาตินี่ อยู่ที่คนพื้นที่ล้วนๆครับ คนนอก เจ้าหน้าที่ ฯ มาแล้วก็ไป เพราะไม่ใช่บ้านเขา คนที่อยู่ตรงนั้นต่างหาก ที่จะต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ถ้าทำไม่ได้ ก็ ช่างหัวมันสิครับ เพราะอีกไมนาน เมื่อทุกอย่างหายไป ก็จะไม่เหลืออะไรมาดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกต่อไป อาจจะช้าหน่อย แต่มันจะเกิดขึ้นแน่นอนถ้าคนในพื้นที่ปล่อยปะละเลย ละเมิดกฎ ต่างๆที่ทางการตั้งอาไว้ ไม่นานเกินรอหรอกครับ 
          เราๆท่านๆ ที่เป็นได้แค่นักท่องเที่ยว กี่ปีถึงจะได้ไปสักหน เผลอๆชีวิตผมที่เหลืออยู่นี่อาจจะไม่ได้ไปเหยียบน้ำทะเลอีกเลยก็เป็นได้ แล้วจะไปห่วงอะไรกับพวกเขาล่ะครับ ถ้าพวกเขาอยากมีชีวิตที่ดีก็ต้องทำบ้านของเขาให้ดีสิครับ ให้สมกับที่ธรรมชาติให้มา ไม่ใช่ให้คนนอกบ้านไปทำ
          นี่คือความคิดของผมคนเดียวนะครับ ไม่เกี่ยวกับใครเลย ได้มาจากการเดินทางไปทำงานตลอดช่วงเกือบสี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะบนบก หรือในน้ำ มันก็เหมือนกันหมดล่ะครับ เจ้าของบ้านต้องดูแลบ้านให้ดี ขาดอะไรก็ไปบอกผู้ใหญ่บ้านเท่านั้นเอง มันยากตรงไหน(นั่งพิมพ์อยู่นี่ มันไม่ยากเลยครับ แฮ่ๆ แต่เรื่องจริงมันไม่ง่ายแน่ๆ)
          ที่ว่ามาคือผมมองแบบภาพรวมนะครับ แต่ในชีวิตจริง มันง่ายอย่างที่ว่ามาก็ดีสิครับ บางที่มีเจ้าพ่อ เจ้าแม่ มีเจ้าถิ่น มีมาเฟีย มารวม สารพัดฯ อีกต่างหาก เหมือนข่าวตอนนี้นี่แหละครับ อะไรนะ ผู้มีอิธิพลในพื้นที่ อะไรประมาณนั้น อันนี้ใครจะกล้าไปแก้ล่ะครับ ให้คุณกันจอมพลังไปแก้ให้ แกจะกล้าไปไหมนั่น เฮ้อ.......ก็ว่ากันเรื่อยเปื่อยไปงั้นเองครับ ข่าวอะ ดูได้เลย ไม่เกินห้าวันก็หายไปจากหน้าสื่อแล้วครับ หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมันล่ะคร้าบ ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
            ราตรีสวัสดิครับทุกท่าน
2:19 น.

.....................................................................................................
             15
เมษายน 2568 2:51 น. สวัสดีครับทุกท่าน 

ผมได้เล่าอดีตของผมที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำเจ้าพระยาไว้ในกลุ่มไลน์ เลยได้โอกาสเอามาลงในบทความตอนนี้ซะเลย มะ มาเริ่มกันดีกว่า อยากเล่ามานานละ

        ผมเองจะว่าไปก็เป็นคนลุ่มเจ้าพระยาแท้ๆเหมือนกันครับ เพราะเกิดที่ โรงพยาบาล ศิริราช นี่เอง เมื่อ หกสิบกว่าปีมาแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ ก็เช่าบ้าน อยู่เลาะๆเจ้าพระยานี่แหละ เพราะ ท่านพ่อผมเป็นทหารเรือ ท่านแม่เป็นครู โรงเรียนวัดวิเศษการ ตรงแถวๆแยก โรงพยาบาลศิริราชนี่เอง

       ผมเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาครั้งแรกตอนยังเด็กมาก นั่งเรือข้ามฟากไปกับท่านแม่แค่นั้นเอง ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่ก็สงสัยว่า แม่น้ำเจ้าพระยานี่ กว้างมากจริงๆ ตกลงไปคงหายไปเลยแน่ๆ555555

       สมัยนั้น เป็นเด็ก  ห้าขวบ พอจำความได้มั่งละ บ้านผมอยู่บริเวณที่วงแดงเอาไว้ เป็นซอยแยกจาก ถนน พระสุเมรุ ซึ่งขนานไปกับคลองบางลำพูนั่นแหละครับ

             คลองนี้ผ่านตลาดวันชาติ เราก็เรียกว่า คลองวันชาติ ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ กิโลฯ ครึ่ง เท่านั้น ซึ่งอยู่ในรัศมีการเดินเที่ยวของกลุ่มเด็กๆแถวบ้านผม เดินไปได้อย่างสบาย แต่พอกลับมา ถ้าหลบไม่ดีมีโดนไม้เรียวก็บ่อยนะครับ ในรูปจะเห็นสะพานข้ามคลองบางลำพู เมื่อก่อนเป็น สะพานไม้ โค้งๆ มีเรือพาย เรือแจว สัญจรไปมาอยู่ไม่มากเท่าไหร่ ระดับน้ำ ขึ้น ลง ตามแม่น้ำเจ้าพระยา เหมือนคลอง ผดุงฯ เพราะสมัยนั้นไม่มีประตูน้ำ  แต่ทั้งสองฝั่งคลองก็จะมีท่อน้ำทิ้ง ซึ่งมีน้ำสีดำๆ ไหลลงคลองเกือบ ตลอดเวลา เป็นมาตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้วครับ แต่ขยะก็เป็นพวก เศษผักต่างๆ หรือวัชพืช ตอนนั้น ผักตบชวายังไม่เห็นครับ เรื่องคลองบางลำพู คร่าวๆก็ประมาณนี้ครับ

             ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยานี่ ได้แต่ยืนมองอยู่ริมฝั่ง คลองบางลำพูว่ากว้างแล้วแต่แม่น้ำเจ้าพระยาสำหรับสายตาของเด็ก ห้าขวบนี่ ยิ่งใหญ่มากจริงๆ มีเรือแล่นไป มาเกือบทั้งวัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรือ แจว ท้องกลมๆใหญ่ บรรทุกมะพร้าว และผลไม้จากสวนฝั่งธนบุรี หรือไม่ก็ล่องมาจาก นนทบุรีก็มี ส่วนเรือยนต์ ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน แต่แทบทั้งหมดจะเป็นเรือไม้ สภาพของน้ำจัดว่าดีมาก แม้ว่าจะมีน้ำดำๆออกมาจากลำคลองต่างๆ ตามท่าเรือหรือหน้าวัดริมแม่น้ำก็จะมีเรือกระแชง หรือใหญ่กว่านั้นมาผูกหลักอาศัยหลับนอนกลายเป็นชุมชนริมน้ำ เห็นได้ทั่วไปทั้งสองฝั่งเจ้าพระยา ท่าเรือเทวศก็มี

        ด้วยความเป็นเด็ก จึงไม่ได้รับอณุญาติให้ไปที่ริมคลอง หรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาคนเดียวอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นโดนไม้แน่นอน ซึ่งก็โดนบ่อยครับ

 เพราะคนแถวนั้นรู้จักกันหมด เห็นผมไปเดินๆอยู่ริมคลองเขาก็จะมาบอกแม่ (ช่างฟ้องจริงๆ5555) แต่จนแล้วจนรอด ทั้งคลองบางลำพูและแม่น้ำเจ้าพระยา ผมไม่เคยได้ลงไปสัมผัสกับน้ำเลยแม้แต่ปลายเท้า จนกระทั่งจบ ป4 ก็ถูกย้ายไปอยู่กับ ท่านตา ท่านยาย ที่ต่างจังหวัด ซึ่งที่นั่นเองที่ผม "ต้อง" ว่ายน้ำเป็น (เอาไว้เล่าอีกทีครับ ยาว)

          ผ่านไป 5 ปี จึงได้กลับมา กทม คราวนี้หนักกว่าเก่าอีก 5555

 ย้ายบ้านไปอยู่ ถนน พระรามหก เป็นแฟลตของ ทหาบก อ้าว ก็ท่านพ่อผมเขาย้ายจากทหารเรือมาเป็นทหารบกไงครับ เลยได้มาอยูที่นี่ แต่โรงเรียนกลับไปอยู่แถวบ้านเก่าอีก งานงอกเลยทีนี้  ตื่นตีห้า เข้าแถว เจ็ดโมง เลิก เที่ยง สลับกันแต่ละเทอมครับ หลังจากไปฝึกวิทยายุทธที่บ้านนอกมาห้าปี ผมเชื่อได้ว่า ในรุ่นเดียวกัน ว่ายน้ำหรือดำน้ำแข่งกันนี่ ผมกินขาด ขาดแบบฉีกกระดาษเลยก็แล้วกัน

          ที่ โรงเรียนใหม่ ม.ศ.3 ได้มีเพื่อนๆหลายคน แต่มีอยู่คนนึง บ้านเขาอยู่ที่ ซอยเก็บเรือกระทรวงมหาดไทย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา..............

 เลิกเรียน เอ้ย โรงเรียนเลิก ก็นั่งรถเมล์ ไปสุมกันอยู่ที่นี่ สี่ ห้าคน เกือบทุกวัน

 กิจกรรมที่ทำก็คือ เล่นกีต้าร์ หรือ ไปห้องซ้อมดนตรี ในซอยแถวๆท่าพระจันทร์ ไม่มี เหล้า ไม่มีบุหรี่ครับ ปิดท้ายด้วยการ กระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างสนุก ผมได้ลงเจ้าพระยาครั้งแรกก็ที่นี่แหละครับ

ลงทั้งกางเกงนักเรียนเลย แล้วมานั่งรอแห้้ง ก่อนกลับบ้าน  สภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนนั้นประมาณปี พ.ศ. 2522 ครับ สภาพน้ำดูด้วยสายตา จัดว่าดีมากๆ  ไม่มีถุงพลาสติก ไม่มีขวดน้ำ รองเท้าแตะ ฯลฯ เศษขยะ มองหาแทบไม่เห็น แต่ไม่ใช่ว่าไม่มี  คุณภาพน้ำค่อนข้างดี เพราะกินไปหลายอึกท้องไม่เสียเป็นใช้ได้ครับ 5555

           และก็เป็นที่นี่อีกนั่นแหละ ที่ผมและผองเพื่อนประมาณห้าคน ได้สร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองขึ้น ด้วยการ ว่ายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา........

 ไม่ได้โม้นะครับ ไปกันห้าคน(เท่าที่นึกออก) แต่กลับมาสี่คน เพราะมีอยู่คนนึง ว่ายออกไปไม่เท่าไหร่ก็ถอยกลับ โดนน้ำพาไปถึงท่าช้าง ต้อง ว่ายเกาะเสาบ้านเขากลับมา ส่วนพวกที่ข้ามไป มีที่พักกลางแม่น้ำครับ เรือพวงนั่นแหละ ได้อาศัยเกาะเอาแรง แล้วก็ไปต่อ ปรากฏว่า ไปถึงฝั่งโน้นที่ท่าเรือวัดระฆัง เพราะตอนนั้นน้ำลงครับ แล้วโรงเรียนกำลังจะเลิกด้วย สตรีล้วน ส่วนที่อยู่ในน้ำ ใส่กางเกงดัวเดียว ก็ต้องเผ่นสิครับ ด้วยการเกาะข้างเรือข้ามฟาก มาปล่อยที่ท่าช้างแล้วก็ว่ายน้ำเกาะเสาบ้านเขากลับ  เป็นอะไรที่มันส์มาก นึกย้อยไปยัง งง กับตัวเองว่า มันทำกันไปได้ยังไงฟะเนี่ย ครั้งแรกและครั้งเดียวจริงๆครับ หลังจากขึ้นท่ามาได้ มานั่งมองตากันปริบ 55555

 ตอนเย็น แม่เพื่อนกลับมารู้เรื่อง ด่าเช็ดเลยทั้งกลุ่ม ฮิ้วๆๆๆๆๆๆ

 แต่ท่านก็ยังทำกับข้าวเลี้ยงก่อนแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันค

รับ สภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนนั้นก็อย่างที่บอกไป ค่อนข้างดีเลยทีเดียว  เรือข้ามฟากทั้งหมดเป็นเรือยนต์ไม้ครับ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นละ 

 เริ่มเห็นเรือโป๊ะลากกันมาเป็นพวงแล้ว และยังมีแพซุง ก็ยังถูกลากมา ยาวมากๆ สมัยนั้น เรือรบ เข้ามาจอดเทียบท่า ราชวรดิศ ได้อยู่ครับ ผมชอบไปยืนดู เพลินดี มี จรวดติดมาด้วย มั้ง

            กรมอู่ทหารเรือ ก็เหมือนกับทุกวันนี้ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ เรียน ม.ศ.3 อยู่ หนึ่งปี ก็ถึงเวลาย้ายไปอยู่ ต่างจังหวัดอีกแล้ว  ทีนี้หายไปนานเลยครับ กลับมาอีกทีก็ปี 2527 แต่กว่าจะได้มาทำงานเกี่ยวกับเรือก็เข้าปี 2533 ไปแล้้ว

            ประเทศไทยใหญ่ขึ้น แม่น้ำเจ้าพระยาเล็กลง ลำคลองต่างๆก็แคบลง เมื่อคนเราโตขึ้น คุณภาพของน้ำในแม่น้ำและคลองในช่วงนั้น ถือว่า แย่สุดๆแล้วครับ คลองหลอด ดำเป็นน้ำหมึก อย่าว่าแต่คลองหลอดเลยครับ ทุกคลองใน กทม มีแต่น้ำสีดำ แบบ ด๊ำดำ

           เรือที่แล่นในแม่น้ำเจ้าพระยา มีขนาดใหญ่ขึ้น ขบวนเรือยาวมากกว่าเดิม มีเรือด่วนเจ้าพระยา ผู้สร้างคลื่นทำลายล้างสูงสำหรับบ้านริมน้ำที่ปักเสาลงไปในแม่น้ำ เรือแจว เรือพาย ไม่เห็นแล้ว เห็นแต่เรือหางยาว สองตอน สามตอน สี่ตอน แล้วแต่จะเรียกกัน แล่นเป็นจรวด ความจริงมีตั้งแต่ผมเรียน ม.ศ.3 แล้วครับ และก่อนหน้านั้นอีกด้วยซ้ำ ช่วงที่วุ่นวายป่วงของแม่น้ำเจ้าพระยาในทุกสมัยก็คือ ช่วงจาก ท่าพระจันทร์ถึงท่าช้างนี่แหละครับ ฝั่งตรงข้าม มี่ท่ารถไฟ ท่าศิริราช ท่าวังหลัง ท่าวัดระฆัง และท่าวัดอรุณ ทั้งเรือข้ามฟาก แทยงไปมา เรือหางยาวรับส่งคนเข้าคลอง บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ เรือด่วน เรือไม่ด่วน และมีเพิ่มาอีก ก็เรือภัตาคาร หรือเรือนำเที่ยวขนาดใหญ่ ตามด้วยเรือนำเที่ยวขนาดเล็ก บวกกับเรือพ่วง เรือบรรทุกน้ำมัน ฯ บันเทิงกันมากครับในเวลาเร่งด่วน 555555

          ขยะต่างๆมีมากขึ้นแบบว่า มองไปตรงไหนก็เจอครับ ถุงพลาสติกหลากสี กินขนมถุงเสร็จก็หย่อนลงแม่น้ำ เห็นจนชินตา ฯลฯ ไอ้ประเภทยกถังขยะเทลงแม่น้ำ ก็เห็นกันเป็นเรื่องปรกติก็ว่าได้ สุดๆแล้วครับในยุคนั้น

 ความจริงเขาก็ทิ้งกันมานานกว่านั้นอีก แต่ด้วยประชากรเมื่อก่อนมันน้อยมันเลยดูเหมือนไม่เยอะไงครับ ทิ้งจากฝั่ง ทิ้งจากเรือ ฯ

          ผมถูกส่งไปติดตามงานต่อเรือที่ถนนท้ายบ้านปากน้ำ ก็ได้เห็นเวลาน้ำลง กลายเป็นเลน ออกไปจากกฝั่งไกลมาก ประดับไปด้วยถุงพลาสติกหลากสี เต็มไปหมด ช่วงปี พ.ศ. 2534 ถูกส่งมาที่อู่เรือแถวๆ ถนนตก

 สภาพของน้ำนี่ดูไม่จืดเลยครับ ออกสีน้ำตาลอ่อนๆ พอน้ำลงก็้เกือบจะดำเลยก็ว่าได้ คือแบบว่า ถ้าตกลงไปนี่ กุจะรอดไหมฟะ ไม่ได้จมน้ำตายนะครับ แต่จะสำลักน้ำแล้วติดเชื้อตายมากกว่า

          อย่าเพิ่งไปพูดถึงโรงงานอุตสาหกรรมเลยครับ มาดูที่เรือยนต์แต่ละลำกันดีกว่าว่ามันมีอะไรทิ้งลงในน้ำมั่ง เรือยนต์ทุกประเภท ทุกลำ ที่เห็นในแม่น้ำเจ้าพระยา จะมีระบบท่อไอเสีย ที่ต้องใช้น้ำระบายคว่ามร้อน นั้นคือ ถ้าสังเกตุดูจะเห็นว่า ปลายท่อไอเสียของเรือยนต์ขนาดเล็ก จะอยู่เหนือผิวน้ำนิดนึง หรือบางลำอาจจะอยู่ใต้น้ำด้วยซ้ำ

  นั่นแหละครับที่มันปล่อยออกมา มีเท่าไหร่ก็ลงน้ำหมด ที่เห็นควันดำๆลอยขึ้นมา มันก็จะตกลงไปในน้ำอยู่ดี แล้วคุณว่ามันมีอะไรออกมาจากท่อไอเสียของเครืองยนต์บ้างครับ บางลำน้ำมันเครื่องหยดลงไปอีก หรือจะทุกลำก็ว่าได้้ครับ

         ปัจจุบัน แม้ว่าเรื่องต่างๆจะได้้รับการแก้ไขไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อย ที่ยังเห็นและเป็้นอยู่ และพึงระลึกไว้เสมอว่า เเม่น้ำเจ้าพระยาไม่ใช่สถานที่สันทนาการนะครับ ไม่ว่าจะเป็น เจ๊ตสกี สปีดโบ๊ท เรือพาย เรือแจวทุกประเภท โดยเฉพาะ ในเเวลากลางคืนนี่ ขอเถอะครับ ถ้ายังอยากอายุยืน ถ้าไม่ใช่คนที่หากินประจำอยู่แล้วนะครับ เพราะเราไม่รู้เลยว่า ตรงไหนในแม่น้ำ กระแสน้ำเป็นอย่างไร ริมฝั่งตรงไหนไปได้ ตรงไหนมีแท่งปูน มีตอไม้อยู่ ตรงไหนมีคลองซอยแยก ผมเชื่อว่า นอกจากคนขับเรือด่วนแล้ว จาก นนทบุรี ถึง วัดราชสิงขร ไม่มีใครรู้จักแม่น้ำเจ้าพระยาดีกว่าพวกเขาแน่นอน และถ้าเหนือขึ้นไปอีก ปทุม อยุธยา อ่างทอง ฯ นี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย เห็นแม่น้ำกว้างๆ แต่รู้ไหมว่าร่องน้ำมันอยู่ตรงไหน กระน้ำมันเป็นอย่างไร

 ขนาดเรือลากยังเสียท่ากันมาเยอะแล้วนะครับ เรื่องนี้ผมก็เคยทำบทความลงไปแล้ว

          ผมเคยเล่าว่า เคยคุยกับข้าราชการระดับสูงของกรมเจ้าท่า ผมถามเขาว่า ทำไม ในแม่น้จ้าพระยาถึงไม่มีมารีน่าเลย เขาตอบว่า แม่น้าเจ้าพระยาเน้นในเรื่องของการขนส่งเป็นหลักครับ ไม่ว่าจะขนคน หรือขนของ ได้หมด แต่ถ้าจะไปแว้นนี่ อย่าดีกว่า เขาว่ามาอย่างนั้นครับ

 ส่วนในอนาคตนี่ ยากจะทำนายจริงๆ เพราะมันมีตัวแปรโผล่มาอีกตัวนั่่นคือ คอนโดริมแม่น้ำ ครับ  ผมเคยเข้าไปเกี่ยวข้องในการวางแผนทำท่าเรือของคอนโดฯอยู่ช่วงนึง พวกเขาพยายาที่จะยื่นท่าเรือของพวกเขาออกมาให้ไกลที่สุด ให้กว้างที่สุด ซึ่ง ฏกหมายปัจจุบันมันทำยากมาก เงื่อนไขเยอะมากจริงๆ แต่..........555555555555555555555555555

        ปัจจุบันนี้ จ้างให้ผมลงไปแช่ในแม่น้ำเจ้าพระยาสักห้านาที จ้างเท่าไหร่ผมก็ไม่เอาแล้วครับ เห็นสภาพน้ำแล้วรับไม่ได้จริงๆ วันนี้เสียดาย เรือข้ามฟากท่าเรือวัดบวรมงคลเขาหยุด ไม่งั้นจะชวนท่านทั้งหลาย นั่งเรือข้ามฟากมาดูน้ำที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยากันให้เห็นกันจะๆกับตากันไปเลยครับ ว่ามันเป็นอย่างไร กทม มีเรือเก็ยขยะหลายสิบลำ แต่ก็ทำได้เท่านั้นเองครับ ก่อนลงไปพายรือ แวะมาดูริมแม่น้ำกันหน่อยก็ดีนะครับ สภาพพอๆกับกลางแม่น้ำเลยทีเดียว 5555555555 มาเครียดเอาตอนรุ่งสางซะแล้วสิเรา 

 โชคดีปีใหม่ครับทุกท่าน
             เป็นบทความที่ผมทำเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2568
 ที่ผ่านมานี่เอง ครับ เพื่งลงในไลน์กลุ่ม คนพายเรือ คายั ค และเรือแคนนู ที่จะลงไปพายกันในคลอง ผดุงกรุงเกษม เริ่มจากท่าเรือเทเวศ ปลายทางคือ ท่าเรือหัวลำโพง เส้นทางนี้ ปรกติจะมีเรือโดนสารขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า ของ กทม ให ้บริการทุกวันครับ ตามเวลาที่เขาแจ้งไว้ ผมก็จำไม่ได้แล้ว  น่าจะออกทุกชั่วโมงมั้งครับ เฉพาะตอนกลางวันเช้าถึงเย็น ท่านใดจะไป ลองตรวจสอบเวลาอีกทีครับ
             ช่วงนี้ยังอยู่ในสภาวะ สงกรานต์ ขอให้ทุกท่านสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ และเดินทางปลอดภัยครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
3:34 น.


...................................................................................................
          
17 มีนาคม 2568 1:52 น. สวัสดีครับทุกท่าน มีคลิปมาฝากครับ
                                    ราตรีสวัสดิครับทุกท่าน ขอให้สนุกในการต่อเรือและโมเดลกันมากๆครับ

.....................................................................................................
          
9 เมษายน 2568 12:51 น. สวัสดีครับทุกท่าน เหลืออีกสี่วันจะถึงวันที่หลายๆท่านรอคอยมานานเกือบปี วันสงกรานต์
           ปีนี้หนักหน่อยนะครับในหลายเรื่อง ทั้งการเมือง และสังคม ในสมัยผมเป็นเด็ก จำได้ว่า ที่บ้านอยู่กันหลายคนมาก บ้านผมมีพี่น้องแปดคน รวมท่านพ่อและท่านแม่ก็เป็นสิบคนพอดี ด้วยเศษฐกิจทางบ้านไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ พี่บางคนก็ถูกส่งไปอยู่กับท่านตา ท่านยายที่ต่างจังหวัด ซึ่งที่นั่นก็มีแค่สองคนพอมีหลานๆไปอยู่ด้วยก็กลายเป็น สามหรือสี่คน ในวัยนั้นผมคิดว่า บ้านเราคนเยอะจัง ไปอยู่ตรงไหนไม่เจอพี่ก็เจอน้อง เวลานอนก็เรียงกัน พี่โตๆ เขาก็ได้แยกห้องออกไป พอปิดเทอม ก็ได้ไปอยู่กับท่าตาและท่านยาย จากสี่คนกลายเป็นหกหรือเจ็ดคน บ้านหลังใหญ่มีหลายห้องก็แบ่งๆกันไปนอน
           พอใกล้โรงเรียนจะเปิดก็พากันกลับ  กทม จากเจ็ดคนก็เหลือ สี่คนในบ้านไม้หลังใหญ่มี ท่านยายเป็นแม่ครัว มีท่านตาเป็นประธาน 5555 สนุกมากครับในวัยเด็ก ไม่ต้องรับรู้ปัญหาอะไร หิวก็มีข้าวกิน ง่วงก็มีที่นอนนุ่มๆ ฝนตกก็มีหลังคาคุ้มหัว หน้าหนาวก็ขดตัวอยู่ในผ้านวมที่ท่านยาย ทอด้วยฝ้าย ทำตั้งแต่ปลูกฝ้าย เก็บดอกฝ้ายมาปั่นเป็นด้าย เอามาย้อมสี ต่อกัน เอาไปทอจนได้ผ้านวมหนานุ่ม และผ้าขาวม้า มาให้หลานๆได้ใช้กันครบทุกคน ผัานวมก็เอานุ่นที่ไปสอยมาจากในสวน มาตีให้ฟูแล้วยัดทั้งผ้านวม หมอน และที่นอน แทบจะไม่ต้องซื้ออะไรเลย หน้าฝนก็นอนห่มผ้านวมฟังเสียงสายฝนตกลงมากระทบกับหลังคาสังกะสี จนหลับไปอย่างมีความสุข พอหน้าหนาว ก็นอนขดอยู่บนที่นอนนุ่มๆ ใต้ผ้าห่มหนาๆ คลุมถึงหัว หลับไปอย่างมีความสุขมากมาย สำหรับเด็กน้อยคนนึงที่จะรับรู้ได้ ว่านี่แหละคือ ความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว
            เวลาผ่านไป หลานๆโตขึ้น ผ้านวม ที่นอน ที่เคยนอนสบาย ก็เริ่มจะสั้นลงทุกปีที่หลานๆพาก็เจริญเติบโต ผ้านวมเริ่มคลุมไม่ถึงหัว ที่นอนเริ่มจะสั้นลง แต่ก็ยังให้ความอบอุ่นนุ่มสบายไม่เคยเปลี่ยนแปลง
           เมื่อลูก หลานโตขึ้น บ้านที่เคยมีคนเยอะแยะ ก็เริ่มหายไปทีละคน ไปอยู่กับเพื่อนมั่ง ไปทำงานกันมั่ง เหลืออยู่บ้านแค่หนึ่งหรือสองคนที่ยังเรียนอยู่ ส่วนที่บ้านท่านตาและท่านยายก็ไม่ต่างกัน บางปีเหลือกันอยู่แค่สามคน คนแก่สองคน คนหนุ่ม หรือสาวหนึ่งคน
           วันเวลาผ่านไป ไม่เคยย้อนถอยหลัง จากบ้านที่เคยเต็มไปด้วยลูกหลาน ก็เหลือแค่เพียง ท่านพ่อ กับท่านแม่ และเช่นกัน ที่บ้านท่านตากับท่านยายก็อยู่กันแค่สองคนในอายุที่มากขึ้น บ้านจะกลับมาหนาแน่นแออัดอีกที่ก็ตอนมีงานเทศการนี่แหละครับ โดยเฉพาะ วันสงกรานต์ ท่านพ่อ ท่านแม่ และลูกๆทุกคนมีที่หมายเดียวกันก็คือ บ้านท่านตาและท่านยาย ทั้งบ้านมีแต่เสียงพูดคุยของเหล่าลูกๆหลานๆ เสียงหัวเราะ เสียงทำกับข้าว เช้า เที่ยง เย็น ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านตา ท่านยาย ได้แต่นั่งยิ้มให้ลูกคนนั้นทีหลานคนนี้ที คุยกันจนดึกดื่นก็ไม่รู้จักง่วงนอน กลางวันก็พากันไปทำบุญที่วัด เสร็จแล้วลูกหลานก็แยกย้ายไปหาเพื่อนๆของแต่ละคน กลับมาก็ตอนกินข้าวนั่นแหละ 
           เหตุการณ์จะเป็นอย่างนี้อยู่สามหรือสี่วัน พอเข้าวันที่สี่ ลูกหลานบางคนก็เริ่มมากราบลาผู้ใหญ่ทั้งสี่ท่าน แล้วก็เดินทางกลับไปสู่ถิ่นที่ทำมาหากินของเอง จนสุดท้าย บ้านทั้งหลังก็จะเหลืออยู่แค่สองคนคือ ท่านตา และท่านยาย ที่อายุก็มากขึ้นตามปีที่ผ่านไป บ้านทั้งหลังก็กลับมาเงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองไปทางไหนก็มีแต่ความว่างเปล่า ไร้ผู้คน ไร้เสียงหัวเราะพูดคุย ทุกอย่างกลับมาเป็นปรกติ รอว่า เมื่อไหร่ วันเทศการนั้นจะเวียนกลับมาอีกสักทีหนอ
           วันเวลาล่วงผ่าน คนก็ล้มหายตายจากกันไป ไม่มีท่านตา ไม่มีท่านยาย ไม่มีท่านพ่อ ไม่มีท่านแม่ อีกแล้ว ท่านพี่บางคนก็ไปแล้ว ที่เหลือก็อยู่กับลูกหลานกันไป บ้านใครบ้านมัน บางคนก็มีโรคภัยไข้เจ็บแถมมาอีกต่างหาก 
           จากครอบครัวที่มีสมาชิกสิบคนบวกอีกสองคนที่ต่างจังหวัด บัดนี้ เหลือแค่เพียง หกคน หายไปครึ่งนึง แต่ละคนก็มีครอบครัว มีภาระ แยกย้ายไปอยู่ในที่ของตัวเอง ทิ้งไว้แต่ความทรงจำเท่านั้น
            มันไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าอะไรเลย แต่มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว และจะเกิดขึ้นกับทุกคนไม่มียกเว้น ไม่มีใครหนีพ้น จะเหลือไว้้แต่ความทรงจำเท่านั้น และจะโหดมากๆสำหรับคนสุดท้าย ที่ต้องรับรู้ทุกเรื่องตลอดเวลาอันยาวนานนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ จะอาสาไปก่อนก็ไม่ได้ จะจับสลากก็ไม่ได้อีก
           เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็หนีไม่พ้้นเรื่องนี้อยู่แล้วครับ ความสุข ความทุกข์ จะมากจะน้อยเท่านั้นเอง ใครทนได้มากกว่าก็จะทุกข์น้อยกว่า ใครทนไม่ไหวก็จะมีความสุขที่น้อยกว่ามาก เท่านั้นเอง
          ใครที่ได้กลับบ้าน มีบ้านให้กลับ ก็กลับไปเถอะครับ โอกาสจะน้อยลงตามเวลาที่ผ่านไปนะครับ สำหรับผมตอนนี้ ไม่มีบ้านให้กลับไปหาแล้วครับ ทุกท่านไปกันหมดแล้ว แต่ที่ผ่านมา ผมก็ทำดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แล้ว ไม่นึกเสียใจแม้แต่นิดเดียว
          ผมขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขในวันสงกรานต์ปีนี้ถ้วนทั่วทุกท่านครับ เดินทางไปกลับปลอดภัย ง่วงก็นอน เมาก็หลับครับ อย่าฝืน ไปช้านิดๆหน่อยๆ ก็ยังไปถึง ดีกว่ารีบไปแล้วไปไม่ถึงนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
1:47 น.

.....................................................................................................
          
 8 เมษายน 2568 12:13 น. สวัสดีครับทุกท่าน ผ่านมาสิบกว่าวันแล้วกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวใน พม่า ขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตทุกท่าน ทั้ง ไทยและพม่า ครับ เราได้เห็นความพยายามในการกู้ภัย ค้นหาผู้รอดชีวิตในซากตึก สตง ที่พังถล่มลงมาในตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทุกท่านและ "ทุกตัว" ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานที่ได้เข้าไปช่วยเหลือในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอย่าสูงครับ ขอให้ได้กลับบ้านกัน "ทุกคน" ครับ
          ค่ำคืนนี้จะเป็นการ รีรัน หรือจะว่า เหล้าเก่าในขวดใหม่ก็ได้ครับ มานำเสนออีกครั้งนึง ซึ่งก็ผ่านมาสองปีกว่าๆได้แล้วมั้งครับกับบทความของเรือลำนี้ที่ทำไว้ ลองไปค้นหาดูได้ครับ แต่ที่เอามนำเสนอใหม่เพราะ "คิดไม่ออก เขียนแบบไม่ทัน" ครับ อย่าว่ากันเลยนะครับ ขอเอามาแก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน มะ มาดูกันครับ

                                       รูปด้านบน



                                        รูปด้านข้าง



           
                                              รูปด้านหน้า


                                                รูปด้านหลัง
              เรือลำนี้เป็นเรือพายขนาดเล็ก นั่งได้สองคน ที่มาก็คือ เพื่อที่ต่างจังหวัดเขาขุดสระในสวน ไม่เล็กไม่ใหญ่เท่าไหร่ อยากได้เรือพายนั่งสองคนเอาไว้พายเล่น ผมเขียนแบบไปให้โดยเน้นที่ทำง่าย ราคาถูกวัสดุหาง่ายครับ มาดูแบบกัน
                                       แบบ GA

                                      แบบ LINE PLAN

                                    แบบ โครงสร้าง

                                    แบบ เฟรมเรือ

                                              แบบแผ่นคลี่เปลือกเรือ
             แบบทั้งหมดมีประมาณนี้ครับ ลองเอาไปทำโมเดลดูก่อนก็ได้ครับ แบบนี้เขียนบนกระดาษ A4 ในสเกล 1/10 ครับ หรือท่านใดจะลองเอาขนาดในแบบไปเขียนก็ได้นะครับ ดัดแปลงเพิ่มเติมได้ตามความพอใจเลยครับ ท่านใดต้องการเป็น pdf file ติดต่อขอรับได้ฟรีครับ จะเป็นโทรมาหรือแอดไลน์มาก็ได้ครับ
             ในบทความเก่า ผมเคยทำโมเดลกระดาษเอาไว้ แต่ตอนนี้มันโดนมารสี่ขามีเขี้ยวขย้ำพังไปเรียบร้อยแล้วทั้งๆที่เก็บไว้สูงแล้วแถมอยู่ในกล่องอีกต่างหาก มันเริ่มจากการขึ้นไปหาที่นอนก่อน แล้วต่อมาก็ค่อยๆคุ้ย ๆ เขี่ย ๆ จนในที่สุดก็โดนมันงาบลงมาเล่นจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปในที่สุด..................ซากมันอนาถมากจริงๆ 55555555555555
            ช่วงนี้จะมีเรือเล็กมากหน่อยเพราะมันทำค่อนข้างง่าย และตรงวัตถุประสงค์ของการสร้างเวปนี้ด้วย ถ้าจำอะไรได้ในอดีต ผมจะเอามาทำบทความให่อ่านกันครับ ท่านไหนเบื่อแล้วก็ข้ามไปได้เลยครับ
            อ้อ อีกเรื่องที่อยากจะบอกคือ ในกลุ่มไลน์กลุ่มหนึ่งเขาจัดกิจกรรม พายเรือในคลองผดุงกรุงเกษม เริ่มจาก ท่าเรือเทเวศ ไปถึงหัวลำโพง และในงาน ก็ได้เชิญผมไปเล่าเรื่องในอดีต ปัจุบัน และการคาดการในอนาคต เกี่ยวกับ ลำคลองและแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งผมก็พอจะจำได้อยู่บ้าง เพราะช่วงวัยเด็กก็ได้เติบโตอยู่แถวๆตลาดวันชาติ ห่างกันไปร้อยกว่าเมตรเองมั้งครับ และในช่วงชีวิตของการทำงาน ส่วนหนึ่งก็อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย มีเรื่องที่จะเล่าไม่น้อยเลยทีเดียว โดยจะเล่าผ่านทาง ไลน์ วีดีโอคอล งานเริ่มในวันที่ 13 เมษายน 2568 เวลา 16.00 น. อีกไม่กี่วันแล้วครับ ท่านใดอยากเห็นเรือ คายัค เรือ แคนนู ก็ไปชมได้ตามวันและเวลาดังกล่าวครับ


       ชื่องานก็ตามข้างล่างนี้เลยครับ
            แจ้งกิจกรรมช่วง 13 เม.ย. 2568 

           เป็นอีกปีที่ได้ร่วมจัดกิจกรรม Bangkok Water Festival 2025 วิถีน้ำ..วิถีไทย 16:00น. พายเรือจากเจ้าพระยา ท่าเทวราช.. ผ่านคลองผดุงกรุงเกษม ทัศนาริมสองฝั่งคลองเรียนรู้การเปลี่ยนเมืองนับจากอดีตสู่ปัจจุบัน ..มุ่งสู่ท่าหัวลำโพง เดินต่ออีกนิดตามหานับร้อยรายการอาหารอร่อยที่ไม่กินไม่ได้ ดื่มด่ำกับประเพณีสงกรานต์รับปีใหม่ไทยไปด้วยกัน

         ตามนั้นเลยครับ คืนนี้ขอราตรีสวัสดิครับ ขอให่ทุกท่านสนุกกับเทศการสงกราณที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน เรื่องเศร้าหมองก็ให้มันผ่านไป เพราะเราไปแก้ไขอะไรมันไม่ได้แล้ว อยู่กับปัจจุบันทำมันให้ดี เพื่อ อนาคตของทุกท่านครับ 
1:07 น.

.....................................................................................................
          
26 มีนาคม 2568 4:23 น. สวัสดีครับทุกท่าน เกือบจะเช้าอีกแล้ว โรคนอนไม่หลับนี่หายยากจริงๆ วันนี้มาดูเรือในคลิปข้างบนกันดีกว่าครับ
       
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! หายหมดเลยครับ เวปเขาอัปเดทระบบเมื่อเช้าเกือบตีห้า ผมอัปโหลดเสร็จแล้ว บันทึกแล้ว ปิดเครื่อง นอน ตื่นมาเที่ยง หายเกลี้ยง !!!!!!!! Akkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkkk
        มะมาลองอีกทีครับ




                   


                                         รูปด้านข้าง

                                       รูปด้านบน



                                       รูปด้านหน้า


                                           รูปด้านหลัง


                                       แบบ GA


                                           แบบ LINE PLAN

         ลำนี้เป็นเรือขนาดเล็ก กินน้ำตื้น ใช้เครื่องเอ้ทบอร์ดติดท้าย ใช้งานในคลองหรือบริเวณที่น้ำค่อนข้างนิ่ง เช่น อ่างเก็บน้ำ ฯ รูปร่างหน้าตา เอามาจากในอินเตอร์เนต แล้วมาปรับแบบให้เหมาะสมกับความชอบของผมเอง วัสดุที่ใช้ ได้ทั้ง ไฟเบอกลาส ,ไม้อัด ,อลูมิเนี่ยม ฯ แล้วแต่จะเลือกเอาตามต้องการครับ
          และเหมือนเดิม ภาพในนี้เป็น jpg ปริ้นออกมาไม่ได้สเกล ท่านใดต้องการเป็น PDF ไฟล์ ติดต่อขอรับมาได้ครับ
           ขอให้ทุกท่านมีความสนุก ความสุขในการต่อเรือทั้งของจริงและโมเดลครับ ครั้งต่อไปเดี๋ยวหาก่อนว่าจะเป็นเรืออะไรดี
15:42 น.

 

.....................................................................................................
          
 15 มีนาคม 2568 0:23 น. สวัสดีครับทุกท่าน มีรูปมาอวดครับ หาเรื่องมาเล่าไม่ได้ก็ใช้รูปมาแก้ขัดไปก่อนละกันครับ





              ตัดแยกออกเป็นสี่ท่อนเพื่อสดวกในการขนย้ายครับ



               ลำนี้เป็นเรือ คายัค เอาหน้าตามาจาก Where House 3D ครับ หาใน google ได้ เขาให้มาเป็น 3D ในไฟล์ของ sketchup หรือ *.skp เอามาเขียน GA และแบบอื่นๆเพิ่ม เพื่อนำไป ทำโมเดลหรือจะต่อเป็นเรือจริงๆก็ได้เหมือนกัน และในแบบ Frame section ที่ไม่ได้ใส่รายละเอียดของวัสดุ เพราะมันสามารถใช้วัสดุได้หลากหลายมากนั่นเอง เช่น ไม่อัด หรือ ผ้้า หรือ ฯ ภาพใน *.jpg เวลาปริ้นออกมา มันไม่ได้เข้า สเกล นะครับ แต่ถ้าเป็นไฟล์ *.pdf ปริ้นออกมา เอาไม้ สเกล วัดได้ตามขนาดที่กำหนดในแบบได้เลย แต่ไฟล์ *.pdf ไม่สามารถแนบลงมาในเวปนี้ได้ครับ ลองมาหลายวิธีแล้ว จนใจจริงๆ ท่านใด้ต้องการเป็น ไฟล์ pdf ติดต่อขอรับได้โดยตรง ผมจะส่งไลน์ไปให้ครับ ฟรีทุกประการ
         ขอให้สนุกกับการทำเรือนะครับ ไม่ได้อวยพรแบบนี้มานานแล้ว ครั้งหน้าเป็นเรือขนาดเล็กอีกเหมือนกันครับ
6:44 น.

......................................................................................................
                   9
 สิงหาคม 2567 17:13 น เอาคลิปมาฝากครับ เครดิตก็ตามในคลิปเลยครับ

 

       

 




   

   

     

WEBBOARD

  • เรือแจว 3 เมตร
    (ดู 210/ตอบ 0) โดย เจ้าของร้าน โพสล่าสุดเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา

           การ ออกแบบ และ เขียนแบบเรือจำลอง


        
 
      การ ออกแบบ และ เขียนแบบเรือจำลอง
      ขั้นตอนการเขียนแบบและออกแบบเรือจำลองนั้น จะว่าไปก็เหมือนกับการออกแบบเรือจริงๆอยู่เหมือนกัน ต่างกันตรงที่ เรือจำลอง จะมีเรือจริงให้เห็นเป็นต้นแบบอยู่แล้ว นั่นก็คือเราไม่ได้ออกแบบ แต่เราลอกแบบมาจากเรือจริง เพื่อมาทำเรือจำลองนั่นเอง
      รูปข้างบน เป็นวิธีเขียนแบบเรือด้วย "มือ" ครับ โดยมี อุปกรณ์ ตามในรูปครับ ความแม่นยำเที่ยงตรง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการเขียนแบบครับ วิธีนี้ประหยัดมาก แต่ก็ใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้าใช้โปรแกรมช่วย ก็จะเร็วและแม่นยำมากขึ้น แต่ในที่นี้จะขอเน้น การเขียนแบบด้วยมือ เพื่อเป็นพื้นฐาน ไว้นำไปต่อยอดกันครับ
    ตามรูปข้างบน ถามว่าเอาแบบจากไหนมาเขียน ก็เอาขนาดเรือมาจากเรือที่เขาใช้โดยทั่วไป แล้วก็มาออกแบบเอาเอง ตามความต้องการของเรา เขียนลงบนกระดาษ A4 มาตราส่วน 1:25 เป็นเรือจำลองออกมา ก็ได้ความยาวประมาณ 23 ซ.ม. ครับ
    การทำเรือจำลอง อย่าคิดมากครับไม่มี ผิด ถูก มีแต่เราชอบหรือปล่าว ถ้าชอบก็ใส่ไป
แต่ถ้าจะจำลองให้เหมือนมากๆ ก็ต้องหาข้อมูลมากๆ แล้วก็ลงมือทำบ่อยๆ เป็นการฝึกฝีมือไปในตัว เริ่มจากเรือ เล็กๆ ง่ายๆ ก่อนครับ
    ตอนนี้กำลังทำเรือเร็วอีกลำ เสร็จแล้วจะนำมาลงให้ชมกันครับ ให้สมกับที่เจ้าของบ้านเขาให้ใช้พื้นที่ฟรีๆ laughinglaughinglaughinglaughinglaughing

MEMBER

STATISTICS

หน้าที่เข้าชม94,915 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด77,736 ครั้ง
เปิดร้าน24 พ.ค. 2561
ร้านค้าอัพเดท25 ต.ค. 2568

CONTACT US

0879262908
รายการสั่งซื้อของฉัน
เข้าสู่ระบบด้วย
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก

ยังไม่มีบัญชีเทพ สร้างบัญชีใหม่ ไม่มีค่าใช้จ่าย
สมัครสมาชิก (ฟรี)
รายการสั่งซื้อของฉัน
ข้อมูลร้านค้านี้
ร้านVIN MODEL
VIN MODEL
จำหน่าย เรือโมเดล,สอน ออกแบบ เขียนแบบเรือโมเดล กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0879262908
เบอร์โทร : 0879262908
อีเมล : r_pinsuwan@hotmail.com
ส่งข้อความติดต่อร้าน
เกี่ยวกับร้านค้านี้
สินค้าที่ดูล่าสุด
ดูสินค้าทั้งหมดในร้าน
สินค้าที่ดูล่าสุด
บันทึกเป็นร้านโปรด
Join เป็นสมาชิกร้าน
แชร์หน้านี้
แชร์หน้านี้

TOP เลื่อนขึ้นบนสุด
พูดคุย-สอบถาม